รีวิว the prom

รีวิว the prom

รีวิว the prom

รีวิว the prom

ดูหนังเถือน ส่งท้ายปีกันอย่างจัดจ้านกันเลยทีเดียวสำหรับ หนัง Netflix เรื่องนี้ ขึ้นแท่นเป็น หนังแนะนำ จากหลาย ๆ รีวิว เพราะหนังเรื่อง The prom (2020) เป็นหนังเสียดสีสังคม ดราม่า และตลก เป็นส่วนผสมที่หลากหลายซึ่งผลที่ออกมาเลยกลายเป็นหนึ่งใน หนัง LGBT ที่น่าดูที่สุดเรื่องหนึ่ง แถมยังมีเรื่องราวของประเด็นทางครอบครัวมาขัดเกลาให้เราซึมซับถึงปัญหาของสังคมทุกวันนี้ได้อย่างแนบเนียนอีกด้วย รีวิว the prom รีวิวหนังสนุก ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี

เมื่อโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งได้มีแผนที่จะยกเลิก งานพรอม ซึ่งแน่นอนว่างานนี้เป็นงานที่สำคัญมากๆสำหรับเด็กนักเรียนมอปลายที่กำลังจะจบการศึกษา เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้ฉลองและมีงานปาร์ตี้ส่งท้ายสนุก ๆ แต่กลับกลายเป็นว่างานพรอมกำลังจะถูกยกเลิกจากสมาคมครูและผู้ปกครอง

เนื่องมาจากเด็กสาวคนหนึ่งที่จะพาแฟนสาวของเธอมาในงานพรอม จึงทำให้เกิดการถกเถียงเป็นประเด็นใหญ่ที่มากกว่าการถกเถียงเรื่องงานพรอม แต่เป็นการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางเพศให้กับพวกเขาอีกด้วย

ต้องบอกก่อนว่าคำโปรยและตัวอย่างต่างๆอาจจะดูเป็นหนังที่เฉพาะกลุ่มไปบ้าง แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใครหลาย ๆ คนสามารถดูได้ เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องราวของการเรียกร้องเสรีภาพทางเพศก็ตาม

แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าตัวหนังนั้นยัดเยียดความรู้สึกว่าคนดูจะต้องยอมรับเสมอไป กลับสื่อออกมาได้อย่างเป็นกลางแต่ตรงไปตรงมา ได้เห็นอีกแก่มุมและช่องว่างระหว่างบริบทและช่วงวัย ซึ่งสื่อออกมาได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะกับในประเด็นเรื่องครอบครัวของความไม่เข้าใจกันระหว่างแม่ลูกในช่วงท้ายต้องถือว่าน่าชื่นชมมาก ๆ

อีกสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็น หนังแนะนำ เลยก็คือ ตัวหนังได้รวบรวมอรรถรสความบันเทิงทางการดูหนัง เช่น รับรองว่าถ้าหากคุณได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว คุณจะรู้สึกสนุกและไม่ผิดหวังไปกับเสียงหัวเราะ ความเข้มข้นของดราม่า และแน่นอนว่าความอลังการของหนังมิวสิคคัลเรื่องนี้อย่างแน่นอน แถมยังมีดาราชื่อดังที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่หลายคนมารับบทในเรื่องนี้อีกด้วย

รีวิว the prom

ถ้าหากคุณกำลังมองหาหนังดี ๆ แบบครบรสสักเรื่อง ขอแนะนำให้ดูเรื่อง The Prom หนังดีเน็ตฟลิกซ์ ที่คุณจะทำให้คุณได้รับประสบการณ์ดีๆจากการดูหนังไปอย่างแน่นอน คุณจะได้ทั้งสีสัน ความบันเทิง เรื่องราวซึ้ง ๆ ในขณะที่ตัวหนังก็เสียดสีจิกกัดสังคมได้อย่างแนบเนียน

สตรีมมิ่ง Netflix ที่ดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์มิวสิคัลในชื่อเดียวกัน ผลงานการกำกับของไรอัน เมอร์ฟีย์ ขาประจำคอนเทนท์หนังและซีรีส์ LGBTQ ที่ขนเอาดาราระดับตัวแม่มาประชันฝีมือการร้องเพลงกันอย่างคับคั่ง

The Prom บอกเล่าเหตุการณ์ของไฮสคูลแห่งหนึ่งในรัฐอินเดียน่าเมื่อสมาคมผู้ปกครองมีมติจะยกเลิกการจัดงานพรอม เพราะไม่เห็นด้วยเมื่อเอ็มม่า (โจ เอลเลน พีลแมน) ได้ประกาศตัวเองว่าเป็นเลสเบี้ยนและจะพาแฟนของตัวเองควงคู่มาเปิดตัวในงาน เหตุการณ์ดังกล่าวดังกล่าวลุกลามบานปลายจนกลายเป็นแฮชแท็กติดเทรนด์บนโลกทวิตเตอร์

ขณะเดียวกันในวงการละครเวทีอย่างบรอดเวย์ เมื่อดาราที่กำลังจะถูกลืมทั้งสี่คนอันประกอบไปด้วย ดีดี้ อัลเลน (เมอรีล สตรีป) แบร์รี่ (เจมส์ คอร์เดน) แองจี้ (นิโคล คิดแมน) และเทรนซ์ โอลิเวอร์ (แอนดริว แรนเนลล์) ที่ทราบข่าวดังกล่าว พวกเขามองเห็นว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะทำให้ตัวเองได้รับความสนใจจากสื่อฯ อีกครั้ง พวกเขาเลยตัดสินใจเดินทางไปยังรัฐอินเดียน่าเพื่อประท้วงต่อสู้เรียกร้องสิทธิของเอ็มม่าให้ได้กลับไปร่วมงานพรอมดังเดิม

แน่นอนว่าเมื่อเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์มิวสิคัล เหตุการณ์ในเรื่องจึงต้องมีลักษณะกึ่งจริงกึ่งฝัน เพราะอยู่ๆตัวละครจะต้องร้องเพลงขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนั้นถือเป็นสถานการณ์ปกติธรรมดา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตัวผู้กำกับไรอัน เมอร์ฟีย์เองก็มีจริตในการกำกับฉากแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร (ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยซีรีส์มิวสิคัลอย่าง Glee เลยก็ได้ นั่นคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด) ทำให้ฉากร้องรำทำเพลงในเรื่องดูลื่นไหล สมูท ไม่ขัดหูขัดตา

อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องการเรียกร้องสิทธิ LGBTQ ในหนังเรื่องนี้อาจจะจัดได้ว่าเรียบง่ายตามสูตรสำเร็จที่แทบจะปูทางไปสู่ตอนจบที่ดูไม่น่าจะเหนือความคาดเดา เพราะโทนของหนัง (และตัวมิวสิคัลเอง) ก็ดูเป็นเรื่องราวแบบตลกขบขัน อารมณ์ดี แฮปปี้ โลกสวย) จึงทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปอย่างง่ายดาย แม้ว่าตัวละครในเรื่องอย่างเอ็มม่าจะต้องเผชิญหน้ากับการที่คนรอบข้างยังไม่เข้าใจในการเป็นเพศสภาพแบบเธอ แต่มันจะพีคกว่านี้แน่นอนถ้าหากหนังเลือกจะขยี้ปมที่พ่อแม่ของเอ็มม่า เลือกจะตัดขาดจากลูกสาวตัวเองมาเล่าต่อ

เพื่อทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ปลอมประโลมใจของชาว LGBTQ ด้วยการสร้างฉากไคลแมกซ์อันเป็นงานพรอมในฝันที่ใครก็ตามสามารถจูงมือ “คู่ครอง” ของตัวเองมาร่วมงานได้ แต่โลกแห่งเป็นจริงบรรดาเกย์ทั่วโลกยังต้องต่อสู้อยู่กับความไม่เข้าใจเหล่านี้ทุกวี่วัน ดังนั้นหนัง (หรือละครเพลง) จึงไม่ต่างอะไรจากคำกล่าวของตัวละครครูใหญ่ทอม ฮอว์กินส์ (คีแกน ไมเคิล คีย์) ที่พูดเอาไว้ว่า “อย่างน้อยโรงละครก็คือพื้นที่ที่พาผมหลุดลอยจากความจริงอันแสนโหดร้ายไปสักสองสามชั่วโมงก็ยังดี”

รีวิว the prom

รีวิว the prom

ตัวหนังเป็นการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและความหลากหลายทางเพศ รวมถึงแฝงการจิกกัดสังคมอเมริกัน ใส่ความดราม่าปนตลกแบบมิวสิคคอล ซึ่งแทบจะเป็นลายเซ็นต์ของผู้กำกับรายนี้ไปแล้วแทบทุกเรื่อง และทำได้ดีในการเรียกร้องให้คนในครอบครัวหันมาพูดจากัน

เรื่องราวสุดวุ่นวายนี้เริ่มขึ้น เมื่อโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในในอินเดียนนา ได้มีแผนที่จะสั่งยกเลิก “งานพรอม” ซึ่งถือว่าเป็นงานเลี้ยงส่งท้ายจบการศึกษาระดับไฮสคูลที่จะจัดกันในทุกโรงเรียนของสหรัฐ และถือว่าเป็นงานสำคัญครั้งสุดท้ายที่เหล่าหนุ่มๆสาวๆจะได้โอกาสร่วมปาร์ตี้อย่างสุดเหวี่ยง พร้อมโชว์ความเริดหรูอลังการ

นี่จึงเป็นงานที่นักเรียนไฮสคูลในสหรัฐทุกแห่งตั้งเป้าจะเฉดฉายให้ได้สักครั้ง แต่แล้วงานของโรงเรียนแห่งหนึ่งกลับถูกให้ยกเลิกโดยสมาคมครูและผู้ปกครอง เพราะสาเหตุจากการแอนตี้ เอ็มม่า สาวน้อยที่เปิดตัวว่าเป็นเลสเปี้ยนและจะพาแฟนสาวมาในงานพรอม

แต่ทางครูใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย จึงทำให้ต้องมีการถกเถียงอีกครั้ง แล้วเรื่องก็กลายเป็นข่าวใหญ่ ในขณะเดียวกัน อดีตสตาร์ดังของวงการบอรดเวย์สี่คน ที่เป็นนักร้อง นักแสดง นักเต้น นักแต่งเพลง ที่เป็นพวกหลงตัวเองสุดขั้ว ก็ทราบข่าวเรื่องการยกเลิกงานพรอม พวกเขาจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะพาพวกตนเองมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง รวมถึงพวกเขาต่างก็อยากมาช่วยเป็นกำลังใจให้เอ็มม่าเพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิในฐานะคนหลากหลายทางเพศ และการวางกลยุทธ์เพื่อหาทางให้นำงานพรอมกลับมา

นี่คือหนังที่เป็นส่วนผสมของอะไรหลายอย่างเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหนังวัยรุ่น หนังรัก หนัง LGBT แต่ด้วยความที่หนังเป็นสไตล์มิวสิคคอลที่ต้องอาศัยความสามารถในการแสดงแบบเล่นใหญ่ในหลายฉาก จึงใช้นักแสดงรุ่นใหญ่มาเป็นเมนหลักในการเล่นบทมิวสิคคอลด้วย ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ เมอร์รีล สตรีฟ และ เจมส์ คอร์เดน ที่จัดหนักจัดเต็มทั้งการร้องและการเต้น หรือแม้กระทั่ง นิโคล คิดแมน ที่ก็มาปล่อยของเอาในช่วงกลางเรื่องได้แบบเซอร์ไพร์สเหมือนกัน

ในส่วนของรุ่นเล็ก ต้องยอมรับว่าสองนักแสดงสาวอย่าง โจเอลเลน เอลแมน และ เอเรียอาน่า เดอโบส ก็ทำได้ดีกว่าที่คาดคิด โดยเฉพาะเคมีเวลาเข้าคู่กัน ที่ก็ทำให้ดูแล้วพอจะเชื่อได้ว่านี่คือคู่รัก LGBT แบบลับๆ ดังนั้นในแง่ของนักแสดง นี่คือจุดเด่นที่สุดของหนัง รวมถึงฉากมิวสิคคอลที่น่าจะจับใจชาว LGBT ไม่น้อย ทั้งฉาก แสงสีเสียง ไดอาล็อค และเนื้อหาในเพลงต่างๆ ที่ต้องการเรียกร้องสิทธิและการแสดงออกของชาว LGBT ในสังคมอเมริกัน ให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น

แต่จุดด้อยที่ต้องยอมรับ ก็คือมันเป็นหนังกึ่งเพลงที่มีความเฉพาะกลุ่มมาก แม้ว่าตัวหนังจะมีความพยายามทำให้มันเป็น Mass เพื่อจับตลาดคนดูวงกว้าง ไม่ใช่แค่ LGBT ทั่วไป แต่ยังพยายามจับกลุ่มคนดูผิวสีด้วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หนังเรื่องนี้หลุดไปจากสไตล์ของหนังแนว LGBT ทั่วไปที่ก็ยังวนเวียนอยู่กับการเรียกร้องสิทธิในการแสดงออกของคนกลุ่มนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นแนวของผู้กำกับ ไรอัน เมอร์ฟี่ ที่แทบจะเป็นลายเซ็นของผู้กำกับคนนี้ไปแล้วด้วย

แล้วอีกจุดหนึ่งที่ อาจจะเป็นจุดด้อยสำหรับคนดูหลายคนคือบทของ เจมส์ คอร์เดน ที่เราจะพบเห็นบทลักษณะนี้ได้บ่อยมากในหนังที่มีกระเทยร่างใหญ่ในไทย ซึ่งบทก็ไม่ได้มีอะไรฉีกไปจากกระเทยร่างใหญ่ที่เราเห็นกัน แม้ว่าที่จริงการแสดงของเขาก็ไม่ได้แย่อะไร เพราะเขาทำได้ดีทั้งการร้องและเต้น เรียกว่าเป็นมาตรฐานพอสมควร แล้วบทของ นิโคล คิดแมน ที่ดูเสียของไปนิด คือไม่จำเป็นต้องใช้ดาราระดับนี้มาแสดงในบทนี้ก็ได้ แม้ว่าเธอจะได้โชว์ของบ้างในช่วงกลางเรื่อง

สำหรับในช่วงท้ายของหนังถือว่าทำได้ดีมาก แม้ว่าบทมันจะน้ำเน่าเกินไปหน่อยตามสูตรของหนัง แต่ก็ยังทำได้ดีเกินคาด นั่นคือบทความสัมพันธ์ของแม่ลูก ซึ่งเอาเข้าจริงดูเหมือนว่าส่วนนี้กลับทำได้น่าประทับใจยิ่งกว่าคู่รัก LGBT ในเรื่องซะอีก แล้วตัวเรื่องก็ไม่ได้พยายามนำเสนอว่า คนที่แอนตี้หรือไม่เข้าใจคนหลากหลายทางเพศคือพวกหัวโบราณ

แต่ทุกคนมีเหตุผลของตนเอง และเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่ต่างก็ไม่อยากให้ลูกตนเองต้องเจอชีวิตที่ยากลำบาก หากลูกๆต้องเปิดเผยตัวเองออกมาต่อสังคม เรียกว่าบทแม่ลูกในช่วงท้ายแม้จะใช้เวลาค่อนข้างสั้น แต่กลับทำอารมณ์ได้ถึง และยังเป็นความพยายามบอกให้ทุกฝ่ายหันมาพูดจากัน อาจจะไม่ต้องเข้าใจกันทันที แต่ต้องคุยกัน แบบที่ตัวละครหลักทำกันไว้ในตอนจบของเรื่อง

นี่คือภาพยนตร์ที่เก้าครั้งในสิบครั้งคุณจะต้องพูดถึงตัวเลขมากกว่าเรื่องราวและการพิจารณาว่าเมอร์ฟีย์ไม่ได้พยายามมากนักที่จะทำให้มันเป็นไปในทางอื่นเขาทำให้มั่นใจได้ว่าเราจะเดินจากไปด้วยความรัก ทำให้ตาพร่าเหนือสิ่งอื่นใด จากรายการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่อย่าง“ Changing Lives” ซึ่งเคลือบถนนสาย 42

ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเย้ายวนใจและแสงไฟสว่างจ้าไปจนถึง Bob Fosse-esque“ It’s Not About Me” และ“ Zazz” เมอร์ฟีกำกับด้วยความรู้สึกของการแสดง และแสดงความเคารพต่อละครเพลงบรอดเวย์นำเสนอบางสิ่งที่เหมาะสมกับหน้าจอขนาดใหญ่ในขณะที่ยังคงมีความใกล้ชิดกับการผลิตละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง“ Zazz” พบว่า Kidman และ Pellman ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟนีออนและสปอตไลท์เปลี่ยนห้องนั่งเล่นและบันไดหลังให้กลายเป็นเวที – ดนตรีแจ๊สสองตัวที่ส่งต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นคนจำนวนมากบนเวที

สำหรับผู้เล่นพวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะมีระเบิดและได้รับการคัดเลือกอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อดำเนินการผสมผสานระหว่างตัวเลขดนตรีที่เร้าใจและช่วงเวลาตลก ๆ โดยมีเพลงหลายเพลงที่เฮฮาในแบบของพวกเขาเอง สตรีพเคี้ยวดราม่าควีนนั่นก็คืออัลเลนระเบิดท่อของเธอเกินกว่าที่ MAMMA MIA! และ INTO THE WOODS

ทำให้เธอยืนยันอีกครั้งว่าในความเป็นจริงเธอสามารถทำอะไรก็ได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นผู้มีรายได้สูงสุด แต่ Rannells ก็พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นนักแสดงที่แท้จริงแสดงอารมณ์ขันและเป็นเจ้าของ “Love Thy Neighbor” ขนาดใหญ่และควรได้รับเลือกให้เข้าร่วมในโครงการอื่น ๆ อีกมากมาย Corden

กระฉับกระเฉงเหมือนเช่นเคยเมื่อปรากฏตัวในดูเหมือนทุกอย่างในเมืองเหมาะอย่างยิ่งสำหรับละครเพลงเมอร์ฟี ฉันหมายความว่าเขาใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและน่าตื่นเต้นที่สุดด้วยความเอร็ดอร่อย และยังคงเป็นเช่นนั้นสำหรับคนที่มีอารมณ์มากขึ้น

สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในระหว่างนั้นเขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ให้มากนักแม้ว่าเขาจะอยู่ในหัวใจของช่วงเวลาที่ฉีกขาดมากขึ้นสองครั้งก็ตาม และน่าเศร้าพอ ๆ กับที่ Kidman บดขยี้“ Zazz” ตัวละครของเธอไม่มีอะไรให้ทำมากนักนอกจากอยู่ที่นั่นและให้การสนับสนุน เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เธอสามารถทำได้มันค่อนข้างยากที่เธอจะไม่ได้รับตำแหน่งที่โดดเด่นมากขึ้นในจำนวนที่มากขึ้น

แน่นอนว่าจะต้องเป็นดาราหลังจากนี้เพลล์แมนคือความสุขที่เปล่งประกายและความคิดบวกที่ไม่มีที่สิ้นสุด ดังตัวอย่างในเพลง Just Breathe แม้ว่าการเป็นเด็กเกย์ในสถานที่อย่างอินเดียนาจะยากแค่ไหน แต่เธอก็มักจะมองในด้านที่สดใสและพยายามมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอแม้ว่าเด็ก ๆ และผู้ปกครองคนอื่น ๆ จะหยุดทุกอย่าง เพื่อนำเธอลง

ในฐานะแฟนสาวที่เป็นความลับของเธอ Alyssa Greene รับบทโดย Ariana DeBose ที่น่าทึ่งและทั้งสองก็เป็นคู่ที่ชนะเลิศและมีช่วงเวลาทางดนตรีที่น่าสัมผัสด้วยกันมากกว่าหนึ่งครั้ง คีแกน – ไมเคิลคีย์ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนของเอ็มม่าและความรักความสนใจของดีดีและเคอร์รีวอชิงตันในฐานะแม่ของอลิสซาที่โหดร้ายและดุร้าย คีย์ได้รับโอกาสในการโชว์ท่อของเขาและมีเคมีที่มั่นคงกับสตรีพและวอชิงตันก็ไม่ได้ร้องเพลงอะไรมากนักในขณะที่เธอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *