รีวิว The Last Airbender มหาศึก 4 ธาตุ จอมราชันย์ หนังที่แปลงมาจากการ์ตูน จะดีหรือไม่

” มหาศึก4ธาตุจอมราชันย์ ” ภาพยนตร์เข้าฉายในวันนั้น ทำให้ทุกคนนึกถึงหนังดังที่เคยฉายในไทย พักจากอาชีพผู้กำกับที่คดเคี้ยวซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา มาดูแอ็คชั่นแฟนตาซีใน The Last Airbender การต่อสู้ของราชาแห่งธาตุทั้งสี่ ซึ่งเปลี่ยนตำนานแห่งธาตุทั้งสี่ของโลกให้กลายเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่บนหน้าจอขนาดใหญ่

เกิดขึ้นเกือบหนึ่งศตวรรษหลังจากที่ Fire Nation ได้ทำการรณรงค์อย่างรุนแรงเพื่อเข้าร่วมกับอีก 3 ประเทศ ได้แก่ Air Nation, Water Nation และ Earth Nation เพื่อปกครองโลกที่พวกเขาเคยปกครอง นั่นคือถ้าคุณไม่ยอมจำนนอย่างสมบูรณ์จะต้องทำลายให้หมด

ในขณะที่ชาวบ้านต่อสู้อย่างสิ้นหวังเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา พวกเขาสนับสนุนผู้ที่ถูกเลือกเพียงไม่กี่คน และมีความสามารถในการควบคุมองค์ประกอบชาติพันธุ์และใช้งานได้ตามที่คุณต้องการ แต่เหล่า Fire Lords ซึ่งมีทั้งกองทัพและอาวุธทำลายล้างได้กวาดล้าง Wind Lord ทุกคนบนโลก และตอนนี้พวกเขากำลังเปลี่ยนแผนเพื่อกวาดล้างดินแดนแห่งน้ำ ที่ตั้งมั่นอยู่ในป้อมปราการทิศเหนือ

อยู่มาวันหนึ่ง Katara เจ้าแห่งน้ำกำลังฝึกซ้อมกับ Soka พี่ชายของเธอ เมื่อพวกเขาได้พบกับเด็กชายชื่อ Ong แต่เมื่อ Katara พบว่า Ong มีความสามารถในการควบคุมลม Katara ก็ตระหนักว่าพวกเขาได้พบเทพเจ้าแห่งลมองค์สุดท้ายแล้ว Aang กลับชาติมาเกิดตามคำทำนาย คนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมธาตุทั้งสี่ได้ Wind Lord หนุ่มเป็นอาวุธสุดท้ายในการต่อต้านการรุกรานของ Fire Nation คืนความสมดุลให้กับโลกที่แตกสลายจากการคุกคามของสงคราม แต่เขาสามารถใช้ทักษะควบคุมธาตุได้ เป็นฮีโร่ที่เขาต้องเป็น ก่อนที่จะสายเกินไป?

นี่คือผลงานการกำกับของ “เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน” ซึ่งเปลี่ยนสไตล์และแนวทางส่วนตัวมาจับหนังฟอร์มยักษ์ระดับบล็อกบัสเตอร์ แต่ผลลัพธ์อาจไม่ใช่ผลงานที่น่าจดจำของเขา เพราะตัวหนังเองก็ล้มเหลว ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกวิจารณ์โดยไร้เหตุผลทั้งในแง่ของรายได้และในแง่ของการต้อนรับ มีคะแนนเฉลี่ยเพียง 5% สำหรับ Rotten Tomatoes ซึ่งยังคงเป็นเรื่องน่าขายหน้า

มหา ศึก 4 ธาตุ จอม ราชันย์ พากย์ไทย เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีทุนสร้างสูง ใช้งบประมาณกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐโดยเฉพาะการออกแบบฉากต่างๆต้องใช้ทักษะพิเศษ ถ้าเอาตามความเป็นจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ในอเมริกาไปเพียง 187 ล้านเหรียญ และเกือบ 320 ล้านเหรียญทั่วโลก ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากนัก และทำให้สตูดิโอไม่กล้าแตะเรื่องราวของจักรวาลนี้อีก

สิ่งแรกคือผู้กำกับคนนี้อาจยังไม่โตพอหรือเขาต้องการทำเอง ในตอนแรกหนังจะออกฉายในรูปแบบ 2 มิติ แต่หนึ่งเดือนก่อนหนังเข้าฉาย ทางสตูดิโอได้เปลี่ยนโปสเตอร์และเพิ่มคำว่า In 3D ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับ “Clash of the Titans” และถูกสั่งให้ปรับ ทางค่ายให้เป็น 3D แต่ผมรู้สึกว่าผู้กำกับอยากทำด้วยไม่งั้นเขาคงตอบว่า “ไม่” เหมือนที่ผู้กำกับ A Nightmare on Elm Street ปฏิเสธว่าสตูดิโอดื้อดึงที่จะทำหนังของเขาให้เป็น 3D . ต่อมาเปลี่ยนเป็นไม่มีประโยชน์ แต่อย่างน้อย

มันเพิ่มความสวยงามให้กับภาพเหมือนไททันจริงๆ ต่อไปเป็นฉากแอคชั่นของผู้กำกับซึ่งเป็นกรณีเดียวกับฉากแอคชั่นของ Gamer ดีกว่ามากที่เริ่มฉากแอคชั่นด้วยลีลาและท่วงท่าของหนังเรื่องนี้ ผมสนุกไปกับเขาด้วย แต่ข้อเสียคือเริ่มได้ประมาณ 1-2 นาทีแล้วจบดื้อๆ แม้แต่อารมณ์ที่สร้างขึ้นก็หายไป ฉันพอแล้ว และถ้าคุณไม่นับฉากแอคชั่นนั่น เราก็อยู่นี่แล้ว

พูดคุยเกี่ยวกับบท The Last Airbender 2010 full Movies ส่วนตัวยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ในเวอร์ชั่นการ์ตูน ชื่อจริงของการ์ตูนคือ Avatar แต่ James Cameron ใช้ชื่อนี้ก่อน เรื่องนี้เป็นเนื้อเรื่องบท ตอนแรกก็คิดว่าตลกดี สนุกกับมันเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่ช่วงหลัง ๆ

นี้มันทำให้ฉันเกือบจะหลับไปข้างหนึ่ง ไม่รู้ว่าผู้กำกับตัดต่อหนังหรืออะไร? ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาได้ออกสคริปต์ที่ไม่โต้ตอบนี้และแสดงให้คนไม่กี่ร้อยคนเห็นแต่วิธีการพิมพ์ ซึ่งทำรายได้ 129 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ และอาจมากกว่านั้นทั่วโลก ถ้าจะให้พูดฉากไคลแมกซ์ของเรื่องนี้ฉันยอมรับว่ามันใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่สนุกกับมัน เพราะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่แก่นแท้ของหนังคือ “บทเอื่อย ฉากแอคชั่นไม่น่าดู พล็อตขึ้นๆ ลงๆ”

นอกจากฉากแอคชั่นเท่ๆ The last airbender trailer (ที่ไม่สนุก) และ 3D กราฟิกสวยๆ (แต่ไม่ทะลุจอแบบแย่ๆ) ไม่มีอะไรจะตำหนิสำหรับหนังเรื่องนี้ เอาเด็กฝรั่งมาเล่นการ์ตูนเอเชียแล้ว เรื่องราวมีเด็ก No Name ชื่อ Noah Ringer รับบทเป็น Aang ในช่วงพรีวิว เขาไม่ได้พูดอะไรมาก ฉันชื่นชมด้วยซ้ำเพราะมันเจ๋ง แต่เมื่อพูดถึงภาพยนตร์

มันไม่ได้ผลจริงๆ มันแย่มาก แต่กรุณาอย่านำมันขึ้นมา การแสดงของเขาในเรื่องนี้ยังเป็นที่ยอมรับ ไม่แย่เท่าเด็กทั่วไปหรือผู้ชายจาก “Penthouse Aliens” แต่โดยรวมแล้วฉากแอ็คชั่นของเด็กก็โอเค

ส่วนตัวคนร้ายนั้นไม่เป็นไร นักแสดงหนุ่มชาวตะวันตกคนนี้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีจากภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง “Dev Patel” ซึ่งรับบทเป็นหัวหน้าหน่วยดับเพลิงในเรื่องนี้ All Make Up ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้แต่งหน้าเลยเพราะพวกเขาเหนื่อยล้า เหมือนตอนที่พวกเขากำลังเล่น Slumdog การแสดงในเรื่องนี้ฉันอยากจะเกี่ยวข้องกับ Slumdog

ฉันไม่ชอบเวลาที่สลัมด็อกบอกว่าเขาห่วยอีกแล้ว แต่พอมาเรื่องนี้ถือว่าพัฒนาใช้ได้เต็มที่ ฉากแอคชั่นของเขาดี ฉันไม่ได้ชอบแค่เสียงที่แหบแห้ง (อีกแล้ว) แต่โดยรวมแล้วไม่มีอะไรให้พูดถึง เอาเป็นว่าดูเพลินๆ

ด้วยการทำงานร่วมกันของทีมสร้างสรรค์เบื้องหลังฉากที่ไม่เหมือนใคร ได้แก่ ผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์ แอนดรูว์ เลสนีย์ (จาก Lord of the Rings) บรรณาธิการรางวัลออสการ์ คอนราด บูฟฟ์ บริษัทสเปเชียลเอฟเฟ็กต์อย่าง Magic (“Avatar”) ปลุกผู้ชมและ ตื่นตากับความอลังการของแต่ละสถานที่ความยิ่งใหญ่ของทุกฉากโดยเฉพาะมหากาพย์การต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายและทุกฉากแอคชั่น ไม่ว่าจะเป็น สายน้ำ สะเทือน ทรงพลัง ปลดปล่อยไฟที่แผดเผา และพลังลึกล้ำของการตัดหัวศัตรูตลอดทั้งเรื่อง

และสัตว์ประหลาด ซึ่งต้องใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก (CG) สร้างขึ้นใหม่ เช่น อัปปา วัวกระทิงหกขาที่สูง 16 ฟุตและสามารถว่ายน้ำในอากาศได้ ค้างคาวจำพวกลิงมีความยาวได้ถึง 32 ฟุตและสามารถบินได้ และ Spirit Dragon ที่คอยให้คำแนะนำ Ang และแนะนำเขาในการผจญภัยที่ยอดเยี่ยม

Avatar: The Last Airbender review ข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือบท ทั้งโครงเรื่องและบทสนทนาดูแห้งแล้งและน่าเบื่อ ส่งผลให้เกิดความไม่ต่อเนื่องทางอารมณ์ ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเรื่องนี้เปลืองแรงเมื่อเทียบกับหนังทุนสร้างที่มีทีมเขียนบท ทีมครีเอทีฟฝีมือเยี่ยมรวมถึงฝีมือที่ M.Night มอบให้ ส่วนนักแสดงรุ่นใหม่ไม่มีความน่าดึงดูดใจเลยแม้แต่นิดเดียว อัง และอื่น ๆ ฉันไม่ค่อยปรากฏในบทบาทนี้ อีกทั้งฉากแอคชั่นยังสวยงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้การได้รับความช่วยเหลือจากเอฟเฟกต์นั้นหรูหรามาก แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่บรรลุความพึงพอใจที่ควรได้รับ

มหาศึก 4 ธาตุ จอมราชันย์ ตอนจบ สรุปแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังแอคชั่นที่ห่วยแตกแต่บทของหนังเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าดีกว่า The Sorcerer’s Apprentice (รู้สึก CG เรื่องนี้ก็โอนะ) และถ้าคิดว่าจะไปดูใน 3D และฉันขอเตือนคุณว่ามันแย่มาก ครั้งนี้เพื่อผู้อ่านทุกท่าน

อย่างไรก็ตามในสายตาของผู้ชมบางส่วนกลับไม่ถือเป็นภาพยนตร์ที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ยังคงเป็นหนังที่พอดูได้และเพลิดเพลิน แม้ว่าในภาพยนตร์จะยังมีจุดที่ไร้เหตุผลอยู่มากมาย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังแฟนตาซีที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมทีเดียว