รีวิว SpiderMan No Way Home สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม กับสุดยอดCG

สวัสดีครับ วันนี้เราจะมารีวิว หนังสนุกNetflix เรื่อง SpiderMan No Way Home สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม ภาคนี้บอกเลยว่าสมกับเป็นหนังปี 2021 บอกได้คำเดียวว่าความอลังการณ์ มันต้องแน่นอนอยู่แล้วสุดๆ ทั้งซีจี และ การดำเนินเรื่องสนุกสุดๆ และการแสดงของทอมฮอลแลนด์ ก็ยอดเยี่ยมรวมถึงคนอื่นๆ ก็ทำได้สุดเช่นกัน เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงนะ ไปอ่านเนื้อเรื่องย่อ และ การรีวิวกันได้เลย สำหรับภาคต่อจาก Far From Home

รีวิว Spider-Man: No Way Home – สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

ภาคต่อเน้นแฟนเซอร์วิส แต่ก็เต็มไปด้วยความสนุก รีวิวนี้ เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว หากผิดพลาด หรือไม่ถูกใจใคร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ แต่ก่อนจะเริ่มรีวิว เรามาดู เรื่องย่อ กันก่อนดีกว่า
เรื่องราวสานต่อเหตุการณ์ของ Spider-Man ภาคที่แล้ว: Far From Home (2019) ซึ่งปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (ทอม ฮอลแลนด์) ฝ่ามรสุมหลังจากที่เขาถูกเปิดเผยว่าเป็นสไปเดอร์แมน ซึ่งรวมถึงคนที่ชอบเขาและคนที่ไม่ชอบ เมื่อชายหนุ่มไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันเหล่านี้ได้จึงตัดสินใจไปหา Doctor Strange
เพื่อขอความช่วยเหลือและช่วยร่ายมนตร์เพื่อทำให้โลกลืมไปว่า Spiderman คือ Peter Parker แต่ สะกดผิดจาก. คนร้ายจากสไปเดอร์แมนถูกนำเข้ามาจากจักรวาลอื่นแทน ดังนั้นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์จึงต้องหาทางแก้ไขอาชญากรรมของเขา ท้ายที่สุดแล้วเขาจะสามารถต่อกรกับวายร้ายเหล่านี้ได้หรือไม่? เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร? คุณต้องดู Spider-Man: No Way Home ด้วยตัวคุณเอง รับชมได้แล้ววันนี้บน Netflix ผ่านกล่องทรูไอดี
หลังจากสร้างปรากฏการณ์ทำรายได้ถล่มทลายเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนนี้หนังก็พร้อมรับชมบน Netflix ผ่านกล่อง True ID แล้ว ใครยังไม่ได้ดู ไปดูกันเลย ส่วนตัวเคยดูตั้งแต่เข้าฉายในโรงแล้ว เอาล่ะมารีวิวกัน ดูแล้วชอบมากครับ แต่ไม่มีตราประทับ เริ่มกันที่บทแรก ส่วนตัวคิดว่าบทในส่วนนี้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป ไม่ลึกลับ ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย เน้นความบันเทิงเป็นหลัก แต่บทก็ยังไม่อ่อนจนเกินไป ดีมาก ถือได้ว่าค่อนข้างสมบูรณ์
หลังจากที่ ดู Spider-Man No Way Home เสียงชัด ทั้งพล็อต ความรัก พัฒนาการของตัวละคร และยังคงความสนุกสนานสไตล์สไปเดอร์แมนวัยเยาว์ บทไหนผมว่าทำได้ดีกว่านี้ แต่แค่นั้นก็ถือว่าโอเคแล้ว รองลงมาคือเนื้อเรื่องในส่วนนี้ผมว่าทำได้ดี เล่าเรื่องกระชับ เข้าใจง่าย มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นตลอด มันน่าติดตามและทำให้เรามีสมาธิกับหนังจนจบโดยไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย มันสนุก
ในช่วงหลังของการแสดงภาคนี้ค่อนข้างดีตามมาตรฐานของ Marvel แต่คราวนี้ Tom Holland (ในบท Spider-Man) ยังแสดงทักษะของเขาในฉากที่น่าทึ่งอีกด้วย เขาทำได้ดีมาก แต่ฉันไม่ได้ตกใจมาก เพราะเขาแสดงหนังดราม่าหลายเรื่องก่อนจะมาแสดงหนังฮีโร่ ณ จุดนี้เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและโดดเด่น
แถมบทยังส่งให้เขาอีก ดังนั้นมันจึงออกมาดี นักแสดงที่เหลือทำงานได้ดีในการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผู้ร้ายจากแผนกเก่าเป็นตัวละครเดียวกันทั้งหมด แต่ชายที่ดูโดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น Willem Dafoe (ผู้รับบท Green Goblin) ดีเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนฉากต่อสู้ในอพาร์ตเมนต์เป็นฉากโปรดของฉันในหนัง การกระทำของเขาน่ากลัวจริงๆ เรียกได้ว่าละครเรื่องนี้กระแสดีมากที่ออกมาทีไรทำเอาเราอินทุกที มันเยี่ยมมาก โดยรวมแล้วฉันไม่มีข้อตำหนิเกี่ยวกับประสิทธิภาพ
No Way Home

รีวิวเนื้อเรื่อง และ ตัวบทของภาพยนต์

ในส่วน ส ไป เด อ ร์ แมน โน เว ย์ โฮม เนื้อเรื่อง ภาคนี้ยังมีรสชาติ กลิ่น และธีมของหนังเรื่องก่อนๆ โดยเฉพาะองก์แรก ผู้กำกับคนไหนชอบ ‘จอน วัตส์’ (Jon Watts)ที่เซ็นกำกับหนังเฟรนไชน์นี้จนกลายมาเป็นหนังไตรภาคยังคงคุมสีสันหนังวัยรุ่นซ่อนเรื่องราววุ่นๆ
ตามแบบฉบับ สิบห้า สิบหก ง่อยๆ ตลกๆ บู๊ห่ามๆ และหนังสไตล์ Coming-of-Age เมื่อไหร่ มาถึงบริเวณนี้ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมวิธีการเล่าเรื่อง เพราะภาพยนตร์สามารถขยายระดับการเล่าเรื่องจากเล็กไปหาใหญ่ได้ ในระดับจักรวาล มันอาจทำให้ฉากแรกของเรื่องช้าลงอย่างมาก ฉากแอ็คชั่นกระตุ้นภาพอย่างต่อเนื่อง แต่สคริปต์นั้นฉลาดและราบรื่นโดยไม่มีการขัดจังหวะและเสียสมาธิ
รวมถึงบทเริ่มกระชับพื้นที่โดยไม่กล่าวถึงตัวละครและเควสอื่นๆ ที่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างฮีโร่กับปีเตอร์มากเท่ากับภาคที่แล้ว ทำให้หนังเริ่มโฟกัสเฉพาะภารกิจของ Peter, MJ, Ned, Doctor Strange, 5 วายร้ายและป้าเมย์ อีกจุดหนึ่งที่นับว่าฉลาดก็คือแม้ครึ่งหลังของหนังจะเริ่มบิดเป็นหนังแอคชั่นเต็มตัว
แต่ตัวหนังก็ยังคงไว้ซึ่งแก่นการเล่าเรื่องในยุคนั้นที่แข็งแกร่ง นั่นคือสิ่งที่เกี่ยวกับการพยายามลบความทรงจำของผู้คน เพราะนอกจากปีเตอร์จะต้องทนทุกข์กับผลของการสะกดผิดแล้ว เขายังโดนโจมตีครั้งใหญ่เพราะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลิขสิทธิ์อีกด้วย เมื่อสิ้นสุดวัน สายก็จบลง และปีเตอร์เองก็ต้องยอมรับผลของการพยายามลบความทรงจำนั้น
การบรรลุนิติภาวะในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับวายร้ายเท่านั้น แต่เขาต้องยอมรับสิ่งที่เขาเลือก ณ จุดนี้ ฉันรู้สึกขอบคุณที่สามารถรักษาแกนหลักนี้ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ปูเรื่องแล้วน้ำตาซึมแถมเป็นตอนจบที่ตลกและให้แง่คิดมาก
ชีวิตของ Peter Parker จากนี้ไปเลือกทางเดินนี้และยอมรับผลที่ตามมา แต่อยู่ดีๆ ตัวตนของ Peter Parker และ Spider-Man จะอยู่ยังไง? ช่างน่าสะเทือนใจในบั้นปลายชีวิตของเขาเสียจริง
No Way Home

วิจารณ์โครงเรื่อง

ถ้าพูดถึงโครงเรื่อง สไปเดอร์แมน ล่าสุด พูดตามตรง แม้ว่าหนังจะปูทางไปสู่ลิขสิทธิ์ก็ตาม แต่ตัวหนังไม่ได้ลงลึกขนาดนั้น (เท่าที่ฉันรู้ Doctor Strange in the Multiverse of Madness ซึ่งออกฉายในปีหน้ากำลังจะได้รับความนิยม) แต่ฉันปฏิเสธลิขสิทธิ์ที่เข้ามาไม่ได้
มันเข้ากับจังหวะการก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เช่นเดียวกับสองภาคแรกได้อย่างลงตัว เราจะเห็นปีเตอร์เข้าร่วมกับโทนี่ สตาร์คในภารกิจเพื่อเอาชนะฮีโร่ที่อายุน้อยกว่า
แต่คราวนี้การเปิดลิขสิทธิ์ทำให้ Peter Parker ตกอยู่ในอันตราย การเผชิญหน้ากับวายร้ายในจักรวาลอื่นบวกกับตัวจริง ในขณะที่ Doctor Strange ช่วยในเรื่องนี้ แต่ Doctor Strange ก็ไม่ได้ช่วยแบบเดียวกับที่พ่อของ Tony ทำในหนังเรื่องก่อนๆ (แต่ Ned และ MJ ก็ยังให้ความช่วยเหลือมากกว่า
ดังนั้น ปีเตอร์เองจะเติบโตเป็นฮีโร่ตัวจริงและต้องสวมบทบาทเป็น “ผู้นำการต่อสู้” เพื่อจัดการกับเหตุการณ์ของลิขสิทธิ์เพียงลำพัง ถือว่าเป็นการคาดเดาที่ดีของลิขสิทธิ์ใน MCU เฟส 4 และจะดีกว่า กว่าเดิม เห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น
No Way Home

นักแสดงยอดเยี่ยมในบท Spider-Man: No Way Home – สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

ถึงพ่อของทอม ฮอลแลนด์  ฉันขอแสดงความยินดีกับคุณเป็นอย่างยิ่ง เพราะในสนามนี้ หนังสไปเดอร์แมน ทอม ฮอลแลนด์3 โตขึ้น การแสดงของทอม ฮอลแลนด์คือผู้ชนะอย่างเด็ดขาดในสาขานี้ และเป็น MVP ที่แท้จริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทอมตัวน้อยเติบโตขึ้นจนสามารถเห็นความสับสนในชีวิต ณ จุดเปลี่ยนผ่านนี้ ตั้งแต่วัยรุ่นมัธยมปลายจนถึงมหาวิทยาลัยและเติบโตขึ้นพร้อมกับความรับผิดชอบของสไปเดอร์แมนที่มากขึ้น
นี่เป็นเวอร์ชัน (และใหญ่กว่า) ของ Peter Parker ตัวจริง จนผู้เขียนแอบเชื่อว่าหลังจบไตรภาค ทอม ฮอลแลนด์ จะกลายเป็นภาพลักษณ์ของสไปเดอร์แมน (เหมือนกับที่ Robert Downey Jr. ชอบให้เรียกว่า Iron Man)
นอกจากทอมและกลุ่มนักแสดงรอบๆ ตัวแล้ว ผู้เขียนเองต้องขอชื่นชมตัวร้ายทั้ง 5 คนนี้ที่กลับมารับบทตัวร้ายที่ท่องไปในจักรวาล แม้ว่าเวอร์ชันต้นฉบับจะห่างจากภาพยนตร์ไปหลายสิบปี พวกเขาก็สามารถจำลองตัวร้ายที่พวกเขาเคยแสดงได้อย่างสมจริง
ตัวละครทั้ง 5 แต่งคอสเพลย์ในพล็อตที่เต็มไปด้วยตัวละครอลเวงแต่แบ่งฉากได้ดีและแปลกที่ไม่แย่งซีนสไปดี้ของน้องต้อมเลย แต่ถ้าให้เลือกว่าคนไหนคือสุดยอดนักเขียน ขอยกให้คุณ “วิลเลียม เดโฟ” เจ้าของบท “Green Goblin” แม้จะแก่ขึ้นตามวัย แต่ยังไงก็ตาม ฉันยังสามารถเล่นเป็นตัวร้ายที่น่ากลัวจริงๆ เหมือนที่ฉันเห็นใน Spider-Man (2002)

สรุกบทความรีวิว หลังจากดูหนังจบ

ประการสุดท้ายในแง่ของงานภาพและการผลิต spider-man โนเวย์โฮม ในแง่ของกราฟิก สำหรับผม เป็นเรื่องปกติตามมาตรฐานของ Marvel และเป็นมาตรฐานเดียวกับหนัง Spider-Man ภาคก่อนๆ ซึ่งทำได้ดีมากตามมาตรฐานของ Marvel
ที่ผมชื่นชมที่สุดคือการถ่ายทำฉากแอคชั่นซึ่งทำได้ดีและสนุกมากๆ อันนี้ครบเครื่องดีทุกอย่างทั้งดีไซน์ตัวละคร ฉากแอคชั่นจัดเต็ม เสื้อผ้าหน้าผมที่ทำมาอย่างดี เรียกได้ว่าเข้มข้นกว่าภาคที่แล้วหลายเท่าและดูไม่เหมือนหนังเลย แต่มันใหญ่มาก ให้ความรู้สึกเหมือน Avengers: Infinity War (2018) ซึ่งดีมาก หลายตัวละครและเป็นหนึ่งตัวละครจากความทรงจำ แค่ได้เข้าไปดูตัวละครเหล่านี้ในหนังก็มีความสุขแล้ว
โดยรวมแล้วเป็นภาพยนตร์แฟนเซอร์วิสที่สนุกสนาน ฉันไม่ใส่ใจแฟนๆ ฉันแค่พอใจ แต่ก็ยังน่าสนใจ เต็มไปด้วยเสน่ห์ และเหมาะสม ไม่มากและไม่น้อยเกินไป แม้ว่าจะมีบท และเนื้อเรื่องก็ยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่ภาพรวมยังโอเคอยู่มาก ไม่เชื่อ ต้องลองเองครับ สุดท้ายนี้ผมขอให้ภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man: No Way Home อยู่ที่ 8.5/10

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *