รีวิว the whole truth
ดูหนังเถื่อน มาถึงคิวออริจินัลหนังไทยเรื่องล่าสุดที่ได้ออกไปสู่สายต่อชาวโลก “The Whole Truth” (ปริศนารูหลอน) หนังระทึกขวัญซ่อนเงื่อน ผลงานการกำกับและเขียนบทของ “วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง” ที่ยังคงหยิบเอาสไตล์และลายเซ็นแนวทางการสร้างหนังหลอนๆ ของเขาเองงัดมาใช้ได้ ภายใต้คอนเซ็ปต์หนังที่ดูน่าสนใจไม่เบา เพียงแต่ว่าภาพรวมนั้นยังห่างไกลจากคำว่ามาสเตอร์พีชอยู่ดี รีวิว the whole truth รีวิวหนังสนุก ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
The Whole Truth ปริศนารูหลอน เล่าเรื่องราวของ 2 พี่น้อง พิม กับ พัท ที่ต้องจำใจไปอยู่กับตาและยายของพวกเขาชั่วคราว หลังจากที่แม่ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้รับบาดเจ็บอาการโคม่า ทั้งสองรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะแม่ไม่เคยเล่าเรื่องตากับยายให้พวกเขาได้รับรู้มาก่อน และการย้ายเข้าไปพักอยู่ที่บ้านเก่าๆ ของคนชรานั้น ทำให้พวกเขาได้พบกับ “รู” ที่ปรากฏขึ้นอยู่ฝากำแพงบ้าน และเมื่อมองส่องเข้าไปก็ได้พบกับเรื่องสุดสยอง
ก่อนอื่นต้องยอมรับเลยว่า The Whole Truth มีไอเดียและคอนเซ็ปต์ที่ชวนน่าติดตามมากๆ เลยทีเดียว การใช้ปริศนาของรูที่ปรากฏขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจมาเป็นส่วนเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมด เป็นกิมมิกที่ค่อนข้างทำให้ผู้ชมใคร่ที่จะสืบรู้พิสูจน์ให้ชัดว่าเบื้องหลังรูนั้นคืออะไรกันแน่ เพียงแต่ว่าตัวหนังยังคงมีปัญหาขาดแรงจูงใจในการเสริมอรรถรสได้ดีเพียงพอที่จะออกมาได้ดีในทุกองค์ประกอบ
วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ถือว่าเขียนบทหนังของ The Whole Truth ออกมาได้ไม่แย่แต่ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบเสียทีเดียว บทหนังของเรื่องนี้ค่อนข้างมิติซับซ้อนที่วางเอาไว้บนพื้นฐานง่ายๆ ของอารมณ์นึกคิดของตัวละคร ดังนั้นจึงทำให้องค์ประกอบการแสดงและการถ่ายทอดเรื่องนี้เป็นไฮไลต์เด่นที่จะพาหนังไปสู่ปลายทางที่คาดไว้ จึงไม่แปลกใจที่ได้ทำการแคสติ้งนักแสดงตัวใหญ่ๆ ออกมาได้อย่างน่าสนใจขนาดนี้
แต่ลำดับการเล่าเรื่องและบรรยากาศของหนังยังคงทำได้ในระดับกลางๆ ที่ยังดูไปสุดมากกว่านี้ได้อีก หนังมีการปูเรื่องราวเอาไว้หลายประเด็นที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายก็มัวแต่ยุ่งเหยิงอยู่กับแกนเดียวที่เพียงแค่แกนนี้ก็ถือว่าเกือบจะพาหนังไปไม่รอดเสียแล้ว คอนเซ็ปต์ดีที่ของหนังถูกนำมาถ่ายทอดในแบบที่ค่อนข้างคลีเช่ทั่วไป อยากจะให้ดูระทึกและหฤหรรษ์ตามไปด้วยแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงใจอีกอยู่ดี
The Whole Truth จึงออกมาเป็นเพียงหนังระทึกที่มีแนวเนื้อเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พยายามที่หักเหตรงนั้นตรงนี้ แต่ยังทำได้ไม่ถึงจุดที่จะชวนให้ผู้ชมรู้สึกว้าวกับการคลี่คลายในแต่ละประเด็น เพราะโทนเรื่องที่ไม่ได้ชวนน่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น กับภูมิหลังของครอบครัวที่คนดูน่าจะเดาทางกันได้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าตระกูลน่าจะมีความไม่ชอบมาพากลและความลับปกปิดเอาไว้อยู่แน่ๆ จึงทำให้การเฉลยปมต่างๆ ยังไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น
แต่จุดสตรองของหนังก็แน่นอนว่าต้องเป็นทีมนักแสดง “ปันปัน สุทัตตา” กับ “แม็ค ณัฐพัชร์” ถือว่าเป็นตัวยืนเรื่อง ที่บอกตามตรงว่าพวกเขาก็เกือบจะเอาหนังทั้งเรื่องไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน ต้องมาได้ความเป็นมืออาชีพของรุ่นใหญ่ “ก้อย ทาริกา” กับ “หมู สมภพ” มาช่วยซัพพอร์ต จึงทำให้ทั้งหมดต่างช่วยกันประคองหนังเรื่องนี้ไปตลอดรอดฝั่งได้สำเร็จ แม้ว่าทิศทางการแสดงของพวกเขาจะไม่ได้ชวนตื่นตาอะไรก็ตาม แต่ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของพวกเขา
เอาเป็นว่า The Whole Truth ปริศนารูหลอน เป็นหนังที่พยายามจะฉีกแนวออกมาในมุมมองที่ไม่ค่อยได้เห็นในหมู่หนังไทยสักเท่าไหร่ แต่ความพยายามนี้ถือว่ายังไม่ประสบสำเร็จเปี่ยมเลี่ยม เป็นความครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่ได้แย่แต่ก็ยังไม่ได้ดีเท่าที่ควร หนังที่สามารถดูได้สนุกเพลินๆ ตามการเล่าเรื่องแบบพยายามชวนให้ระทึก แต่หากว่าใครชอบหนังแนวสืบหาปมปริศนาความจริงก็น่าจะชอบเรื่องนี้พอได้อยู่
จุดเด่นของหนังคือด้านงานภาพที่เนียบ ดุดัน เล่นมุมกล้องที่ค่อนข้างผาดโผน ช่วยตรึงให้เราอยู่กับหน้าจอได้ตลอดต้นจนจบเพื่อลุ้นว่า อะไรอยู่หลังรูนั้น ขณะเดียวกัน สิ่งที่ดูจะเป็นจุดอ่อนของหนังก็เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องคือ “บท”
บทหนัง มีซับพลอตหลายเรื่อง เลือกใส่เข้ามาจนระหว่างทางบทบังเส้นเรื่องหลักเป็นระยะ แล้วพอถึงจังหวะที่เปิดม่านให้ปมหลักของเรื่องเฉลย ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตกตะลึงขนาดนั้น ตัวหนังพยายามหยิบเครื่องมืออุปกรณ์มาเล่าเรื่องให้มีความแปลกใหม่ น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่ตัววัตถุดิบที่นำมาใช้ยังคงเดิม ๆ เหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เราเคยดูมาแล้ว
อีกหนึ่งอย่างที่เป็นแผลเห็นชัดคือ การกระโดดของอารมณ์ตัวละคร บางฉากเป็นซีนต่อเนื่องกัน แต่อารมณ์ของตัวละครไม่คอนทินิว จนทำให้อารมณ์ของคนดูสะดุดไปด้วย เพราะต้องมาฉุกคิดว่าปัญหาเป็นที่การแสดงของนักแสดง หรือเป็นการออกแบบอย่างตั้งใจให้สื่อสารออกมาเป็นแบบนั้น
หนังผีไทยของ Netflix เรื่องที่ 3 ต่อจาก สาวลับใช้ กับ GHOST LAB ซึ่งคราวนี้ได้ วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับดังจากหนังผีขึ้นหิ้งของไทยอย่าง เปนชู้กับผี ซึ่งตัวผู้กำกับเองมีงานหลากหลายแนว แต่ช่วงหลังจะเน้นจับแนวผีสยองขวัญเป็นหลักอย่าง รุ่นพี่, สิงสู่ มีเขียนนิยาย รุ่นน้อง ภาคต่อจากหนังรุ่นพี่ด้วย (มีคุมงานหนังเน็ตฟลิกซ์เรื่อง DEEP ด้วย)
ซึ่งเท่ากับว่าผู้กำกับวิศิษฐ์ได้หันมาเอาดีด้านนี้จริงจัง อาจจะเพราะหลังจากอกหักจากหนังอินทรีแดงที่ไม่สามารถทำภาคต่อได้ ในฐานะที่เป็นแฟนผลงานของผู้กำกับคนหนึ่ง ผู้เขียนจึงค่อนข้างคาดหวังกับงานนี้ไว้มากว่าอาจจะเป็นผลงานที่พาผู้กำกับวิศิษฐ์ให้กลับมาดังได้ โดยเฉพาะเมื่อไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณอย่างที่ผ่านๆ มา กับการฉายในสตรีมมิ่งก็ไม่มีแรงกดดันเรื่องรายได้กลับมา และยังเป็นผลงานที่โกอินเตอร์ตรงๆ
ผ่านเน็ตฟลิกซ์ด้วย แต่ก็ต้องบอกกันก่อนเลยว่าค่อนข้างผิดหวังหนักมากกับผลงานเรื่องนี้ของผู้กำกับวิศิษฐ์ครับ ซึ่งอาจจะเพราะบทหนังถูกเขียนโดยคนอื่นที่หน้าใหม่ด้านนี้อย่าง Abishek J. Bajaj (อภิเษก เจ บาจาช) ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นงานที่เน็ตฟลิกซ์ส่งต่อให้ผู้กำกับวิศิษฐ์ทำ ผลงานที่ออกมาจึงดูแปลกๆ และค่อนข้างตกต่ำจากมาตรฐานผลงานดีๆ ของเขาครับ
เนื้อเรื่องเริ่มต้นจาก พิมและพัท สองพี่น้องที่ต้องย้ายไปอยู่บ้านใหม่ของตายายที่มารับตัวพวกเขาไปหลังจากแม่ประสบอุบัติเหตุรถชนกันจนต้องนอนโคม่าอยู่ในโรงพยาบาล เมื่อมาอยู่บ้านของตายายพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดจากพฤติกรรมแปลกๆ ของทั้งคู่ และเมื่อมาเจอรูลึกลับบนกำแพงที่ส่องเข้าไปแล้วเห็นห้องประหลาดอีกด้าน ยิ่งทำให้เรื่องราวของบ้านหลังนี้ลึกลับซับซ้อนมากขึ้นไปอีก
พล็อตเรื่องถ้าดูเผินๆ อาจจะเหมือนลอกหนังฝรั่ง The Visit ของผู้กำกับเอ็มไนท์ ชมาลายาน ซึ่งก็เหมือนกันแค่พล็อตเท่านั้น แม้จะมีกลิ่นอายแนวลึกลับหักมุมเหมือนกัน แต่เนื้อในของปริศนารูหลอนแตกต่างออกไปมาก ซึ่งเนื้อหารีวิวต่อจากนี้อาจจะมีสปอยล์จางๆ ปนอยู่ด้วย เพราะยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่เขียนถึงความพยายามยำใหญ่หลายแนวของเรื่องอย่าง วัยรุ่น ผี ไซไฟ อาชญากรรม จิตวิทยา ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าเป็นสปอยล์ไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นการรวมหลายแนวเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ผีหรือสยองขวัญเพียวๆ แบบหนังแนวนี้ที่ผ่านมา
โอเคการยำรวมหลายแนวเข้าไว้ด้วยกันอาจจะเป็นไอเดียที่ดีที่ทำให้การเดินเรื่องดูหลากหลาย สามารถบิดไปมาได้ตามใจ ซึ่งเรื่องนี้ก็มาในแนวแบบนั้นเลย ด้วยการวางเรื่องชีวิตวัยรุ่นเป็นตัวเปิดเรื่องให้ดูเหมือนมีปมลึกลับ จากการที่เพื่อนชายร่วมโรงเรียนของพิมมีความลับบางอย่างซ่อนไว้ และพยายามเอาจุดนี้มาข่มขู่พัทน้องชายของเธอให้ร่วมมือ
ก่อนที่จะตัดไปแนวลึกลับจากการมาของตัวละครตายายปริศนา ตามด้วยการพบรูในบ้านที่โยนเข้าเรื่องผีเต็มๆ ก่อนที่จะสับขาหลอกมาเฉลยด้วยแนวทฤษฎีไซไฟ ตามมาด้วยการบิดเรื่องไปแนวล้างแค้นอาชญากรรม ก่อนจะกลับมาด้วยแนวจิตวิทยา แล้วก็สลับมาผีอีกครั้ง ซึ่งการที่เรื่องพลิกไปมาหลายแนวอย่างที่เห็น
เป็นการตั้งใจให้เรื่องดูมีหักมุมซับซ้อนชวนคิดติดตาม ซึ่งก็ได้ผลในแง่นั้น แต่ปัญหาคือการพลิกในแต่ละครั้งมันดูไม่เนียน ทื่อๆ เหมือนอยากจะยัดอะไรก็ยัดมา อย่าง เรื่องแก่งแย่งชิงตำแหน่งเชียร์ลีดเดอร์ กับช่วงที่เกิดอาชญากรรมล้างแค้นคนที่ขับรถชนแม่ของพิม สองเรื่องนี้แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเส้นเรื่องหลักเลย
เป็นได้แค่เนื้อหาหลอกคนดูให้คิดว่ามีอะไรกับรูในเรื่องแค่นั้น หรืออย่างการพยายามยัดให้เรื่องผีกลายเป็นทฤษฎีรูหนอนแนวไซไฟข้ามมิติ ก็เป็นอะไรที่เรียกว่ายัดมาทื่อๆ แบบไร้ชั้นเชิงมาก โดยไม่มีที่มาที่ไปอธิบายอะไรเพิ่มเติมด้วย ก่อนที่ช่วงท้ายจะกลายเป็นแนวจิตวิทยาไปอีก เป็นความพยายามทำให้เรื่องดูซับซ้อนหักมุมสุดๆ แต่ผลที่ได้มันกลับเป็นความพยายามมากไปจนดูไม่เนียนเอามากๆ แต่อย่างน้อยก็อาจจะมีข้อดีตรงที่ แม้เรื่องจะดำเนินไปแบบหลากหลายแนวรวมกันก็ไม่ได้ดูแล้วงงหรือเข้าใจยากอะไรครับ
ปัญหาของบทอาจจะค่อนข้างแย่แล้ว แต่ที่แย่กว่าคือ แอคติ้งการแสดงของตัวละครทุกคนในเรื่องดูไม่เป็นธรรมชาติเอามากๆ โอเคตัวตายายที่เล่นโดย หมู-สมภพ เบญจาทิกุล กับ ก้อย-ทาริกา ธิดาทิตย์ อาจจะเป็นตัวละครที่ต้องการให้แอคติ้งออกมาประหลาดๆ ดูไม่เหมือนคนปกติอยู่แล้วเพื่อสร้างความน่าสงสัยแบบหลอนๆ ให้กับคนดู
แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันออกมาประหลาดแบบแข็งๆ มากกว่าจะเป็นในแนวลึกลับน่าสงสัยแบบเนียนๆ อย่างที่ควรจะเป็น ส่วน ปันปัน สุทัตตา กับ แม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ ในบทของพิมกับพัทที่เป็นตัวเอกหลักในการเดินเรื่องราวกลับแสดงออกมาแข็งๆ แอคติ้งไม่ผ่าน ประกอบกับบทพูดที่ไม่เป็นธรรมชาติด้วย
ทำให้ปันปันที่ว่าเป็นนักแสดงที่เก่งก็ยังเอาตัวไม่รอดในเรื่องนี้ กลายเป็นเหมือนกำลังเล่นหนังเกรดบีท่องบทพูดไปแทน ซึ่งเป็นอะไรที่น่าผิดหวังมาก แอบแถมด้วยว่าแม้แต่บทแมว “ลาเต้” ในเรื่องที่ดูเหมือนมีความสำคัญ เพราะมีการใช้ภาพแมวตัวนี้ขึ้นในโปสเตอร์โมทโมทเรื่องด้วย แต่ก็กลับไม่ได้ใช้แมวตัวนี้ให้เป็นส่วนสำคัญกับเรื่องเลย
นอกจากข้อเสียที่ว่ามาแล้ว ในเรื่องยังมีส่วนที่แอบน่ารำคาญอยู่ด้วยจากการใช้เสียงซาวเอฟเฟ็กต์ประกอบแบบโฉ่งฉ่างเกินพอดีในทุกๆ ฉาก อะไรนิดหน่อยก็ใส่เข้ามาจนล้นมากเกินไป และฉากผีในเรื่องก็ออกมาแบบซ้ำๆ ไม่ได้แปลกใหม่อะไรแล้วกับแนวผีคลานเหมือนพวกผีญี่ปุ่น กับเล่นเรื่องอ๊วกเป็นเลือดวนไปวนมา ซึ่งก็เป็นคำใบ้ของเรื่องว่าสุดท้ายแล้วพอเฉลยมาคนดูจะเข้าใจว่าทำไมผีต้องทำอะไรซ้ำๆ แบบนั้น แต่มันก็กลายเป็นข้อเสียไปด้วยเมื่อไม่สามารถครีเอทฉากผีหลอกเว่อร์ๆ ไปกว่านั้นได้จากข้อจำกัดที่ว่าครับ ถามว่าน่ากลัวไหมก็น่ากลัวพอประมาณ แต่ก็ไม่ได้มีฉากน่าจดจำด้วยเช่นกัน
The Whole Truth ปริศนารูหลอน จึงไม่ใช่ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่พูดถึงเรื่องเหนือธรรมชาติไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากราวกับอยู่ในบ้านของเรา และการสื่อเรื่องผ่านสัญญลักษณ์ทำให้การดูเหมือนกับการเติมคำในช่องว่างว่าผู้ชมจะเลือกแทนค่าตัวละครในเรื่องเป็นใคร เป็นอะไร และเพลงปิดเรื่องที่พิมฮัมซึ่งมีเนื้อร้องว่า ‘เสียแรงหลงกู่ ยู้หู ยู้หู ยู้หู ยู้หู หลงอยู่ทุกคืนทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ละเมอ…หาเธอ หาเธอจนสิ้นลมหายใจ’ ‘เธอ’ ที่ว่านั้น หมายถึงใครกัน