รีวิว The Mitchells Vs. The Machines

รีวิว The Mitchells Vs. The Machines

รีวิว The Mitchells Vs. The Machines

รีวิว The Mitchells Vs. The Machines

ดูหนังเถื่อน บ้านมิตเชลล์ ปะทะ จักรกล (The Mitchells vs. the Machines) ภาพยนตร์อนิเมชั่นฟอร์มยักษ์จากโซนี่ กำกับและเขียนบทโดย ไมเคิล ริอันด้า (Michael Rianda) ผู้เคยฝากผลงานอนิเมชั่นยอดเยี่ยมทางโทรทัศน์อย่าง แกร์วิตี้ฟอล (Gravity Falls) ขึ้นแท่นกำกับอนิเมชั่นเรื่องยาวเป็นครั้งแรก โดยมี ฟิล ลอร์ด และ คริส มิลเลอร์ นั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ควบคุมงานที่เคยฝากผลงานอนิเมชั่นของค่ายเดียวกันอย่าง มหัศจรรย์ลูกชิ้นตกทะลุมิติ (Cloudy with a Chance of Meatballs) รีวิว The Mitchells Vs. The Machines รีวิวหนังสนุก ดูหนังออนไลน์

และโปรดิวเซอร์งานชนะรางวัลออสการ์อย่าง สไปเดอร์-แมน: ผงาดสู่จักรวาล-แมงมุม (Spider-Man: Into the Spider-Verse) พร้อมได้เสียงพากย์โดยนักแสดงอย่าง แดนนี แมคไบรด์, แอ็บบี้ เจค็อบสัน, มายา รูดอล์ฟ และนักแสดงหญิงผู้ได้รางวัลออสการ์จาก เดอะ เฟฟเวอริท อีเสน่ห์ร้าย อย่าง โอลิเวีย โคลแมน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดต้องฉายโรงเมื่อเดือนกันยาปีก่อนในชื่อ CONNECTED ดูหนังฟรี

แต่เพราะโควิดจึงต้องเลื่อนไปก่อนจะลงเอยด้วยการที่ NETFLIX ทุ่มทุนซื้อมาฉายในเดือนเมษายนรับวันหยุดที่สุด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามโดยสื่อจากต่างประเทศ ในเมื่อมันเข้ามาถึงประเทศไทยที่มีพร้อมทั้งเสียงไทยเต็มรูปแบบ บางทีนี่อาจจะเป็นม้ามืดอีกเรื่องของโซนี่เลยก็ได้ เพราะฉะนั้นเรามาอ่านเรื่องย่อกันก่อนเลย

บ้านมิตเชลล์ดูเผิน ๆ นั้นอาจจะเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาแถมเพี้ยนสุดกู่ ไม่มีอะไรที่ดูดีเลยสักอย่าง แม้แต่คนในครอบครัวยังไม่กล้าหันหน้าเข้าหากัน แต่เมื่อทริปของบ้านมิตเชลล์สู่มหาวิทยาลัยภาพยนตร์ของลูกสาวคนโตอย่าง เคที่ ต้องจบลงอย่างกะทันหัน

เมื่อเกิดหายนะขึ้นจากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเกินกว่าที่มนุษย์จะควบคุม ครอบครัวที่มีรอยห่างระหว่างความสัมพันธ์จึงต้องจับมือกันฟันฝ่าวิกฤตที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเจอมาให้ได้ ก่อนที่โลกทั้งใบจะถูกจักรกลยึดครองจนไม่เหลือซาก ปัญหาสำคัญคือ พวกเขาทั้งห่วยและไม่มีอะไรที่เข้าข่ายการเป็นฮีโร่เลยสักนิด แผนการที่ไม่มีความรัดกุมจึงนำมาซึ่งเรื่องราวสุดประทับใจที่จะเป็นบทเรียนสำคัญที่จะเชื่อมตัวให้ครอบครัวที่ห่างเหินกลับมารวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง แม้จะเป็นท่ามกลางหายนะวันจักรกลยึดโลกก็ตาม”

รีวิว The Mitchells Vs. The Machines

อนิเมชั่นเรื่องนี้มีความโดดเด่นมากตรงการเล่าเรื่องที่แบ่งสัดส่วนออกอย่างลงตัว โดยในช่วงแรกหนังจะใช้เวลาปูตัวละครต่าง ๆ ใส่ปมความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นระยะ พร้อมทั้งผลักดันประเด็นความสำคัญของเทคโนโลยีเข้ามาเล่าแบบแทรก ๆ ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ก็มีฉากให้เศร้าใจ น้ำตารื้นพอ ๆ กับประเด็นของครอบครัวที่อาจจะยังไม่คลี่คลาย ก่อนที่หนังจะเปลี่ยนตัวเองเป็นหนังแนวโร้ดทริปสไตล์ขับรถไปตามที่ต่าง ๆ

และมีการใส่ฉากความสัมพันธ์ของครอบครัวแบบที่เห็นกันอย่างชัด ๆ ซึ่งช่วงนี้จะยังไม่ค่อยมีอะไรมาก กระทั่งหนังจะปาฉากไซไฟสุดอลังที่ไม่มีให้เห็นในตัวอย่างมาเริ่มเดินเรื่องอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวละครต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด กลายเป็นหนังแบบวันสิ้นโลก แต่ก็ยังไม่ทิ้งประเด็นของครอบครัว อีกทั้งยังรักษามุกตลกที่ใส่มาอย่างถูกจังหวะที่บางครั้งตอนดูก็ไม่ได้คิดว่าจะขำ แต่ก็ขำออกมาได้หลายฉาก

อาจเพราะจังหวะจะโคนของเรื่องราวมันมีความตลกบนความจริงจัง เมื่อหนังต้องการให้เรารู้สึกตามตัวละครนั้น ๆ ซึ่งผมมองว่านี่เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในอนิเมชั่นดิสนีย์ที่ผมมองว่าพยายามโฟกัสประเด็นหนึ่งจนดูเป็นอนิเมชั่นสำเร็จรูป แต่มันมีเอกลักษณ์การเล่าเรื่องของตัวเองเป็นแบบที่ว่า ถ้าตอนแรกอนิเมชั่นเรื่องนี้ตั้งใจทำเป็นหนังเวอร์ชั่นคนแสดงก็ไม่มีอะไรกังขาเลย เพราะพล็อตกับส่วนผสมมันลงตัวมากตั้งแต่ต้นจนจบ

ตอนที่เห็นตัวอย่าง ผมนึกมาตลอดว่าจะได้เห็นแค่ปมความสัมพันธ์ระหว่างเคที่กับพ่อของเธอ ริค แต่จริง ๆ มันมีประเด็นของตัวละครครอบครัวแต่ละคนด้วย ทั้งลินดา แม่ที่ไม่กล้ามีปากเสียงกับสามี และทำทุกอย่างแบบขอไปที ทั้งแอรอน น้องชายคนเล็กที่มีนิสัยแปลกและมีความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ และแต่ละคนก็จะมีซีนเด่นประจำตัวและเป็นประโยชน์กับเรื่องราว แม้แต่จักรกลเองก็มีประเด็นที่น่าสนใจที่ทำให้มันไม่ได้เป็นแค่ตัวร้ายแต่ยังสะท้อนถึงปัญหาสังคมปัจจุบัน

ซึ่งผมก็พยายามจะไม่บอกว่าซีนเหล่านี้คืออะไร แต่บอกได้เลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้คอยเซอร์ไพรส์ในเรื่องตลอด และหนังก็สามารถเก็บประเด็นเหล่านี้ครบถ้วนไม่มีขาดตกบกพร่อง ว่าง่าย ๆ คือมันเจาะลึกไปถึงปมตัวละครที่มากกว่าในตัวอย่างเยอะ บางครั้งก็เชื่อมโยงกับสิ่งของในเรื่อง หรือแม้แต่ในวิดีโอ ซึ่งมันน่าสนใจตรงที่อนิเมชั่นนี้ไม่ได้มาจากค่ายดิสนีย์ และมันทำให้เกิดความแปลกใหม่

รีวิว The Mitchells Vs. The Machines

เมื่อเทียบกับผมที่รู้สึกผิดหวังกับดิสนีย์ที่เดี๋ยวนี้ทำอนิเมชั่นเฉลี่ยบทตัวละครไม่ค่อยดี หรือเน้นไปที่ตัวละครใดตัวละครหนึ่งมากเกินไป อาจเป็นเพราะตัวละครหลักสำคัญคือครอบครัวมิตเชลล์ด้วยละมั้งที่ทำให้หนังสามารถเฉลี่ยความสำคัญของตัวละครครอบครัวอย่างเท่าเทียมกันจนสามารถทำให้องค์ประกอบของเรื่องมีชีวิตชีวา และลุ้นว่าจะสามารถทำภารกิจพิทักษ์โลกสำเร็จหรือไม่ ด้วยความที่พวกเขาไม่ใช่คนเก่งกาจมีความสามารถแบบที่ตัวละครในหนังแนวนี้มี แต่เป็นคนธรรมดาที่พยายามประคับประคองครอบครัว

ปมของตัวละครในเรื่องนี้ถูกเฉลี่ยกันหลายเรื่องเลย นับตั้งแต่ เรื่องแรก ความฝันและความชอบในสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะเคที่ ที่ตลอดชีวิตเธอเจอสิ่งที่ตัวเองชอบแต่กลับไม่ได้รับความชื่นชมจากครอบครัวจนค่อย ๆ ผลักให้เธอหนีห่างจากครอบครัวโดยเฉพาะ ริค พ่อของเธอไปเรื่อย ๆ จนตัดสินใจจะไปจากครอบครัว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องโลกถูกจักรกลเข้ายึดครอง เธอจึงต้องจำใจทำเป็นว่าเธอชอบในสิ่งที่ครอบครัวชอบก่อนที่มันจะย้อนกลับมาทำร้ายเธอและครอบครัวภายหลัง

เรื่องสอง ความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่คอยเสนอทุกอย่างให้ลูกโดยเชื่อว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่ตัวเองมีให้ จนลืมฟังเสียงของกันและกัน เรื่องสาม ครอบครัวที่อิจฉาครอบครัวอื่นว่าดีกว่าตัวเองก่อนจะได้เรียนรู้ว่าความไม่เหมือนใครอื่นนี่แหละที่ทำให้พวกเขาวิเศษ เรื่องสี่ การให้เห็นผลร้ายของเทคโนโลยีที่มีผลกระทบทั้งในทางที่ดีและไม่ดี เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาตัวเองขึ้นมาและมนุษย์ทอดทิ้งสิ่งที่ตัวเองมี มนุษย์จะต้องรับผลอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น

มนุษย์ใช้ชีวิตโดยหวังพึ่งจักรกลเป็นเหมือนผู้ช่วยจนลืมมองความสัมพันธ์จริง ๆ ของมนุษย์ที่ต้องการความเข้าใจและพึ่งพาอาศัยกัน และครอบครัวมิตเชลล์จึงเป็นภาพสะท้อนที่ว่า หากครอบครัวมีความสามัคคีเชื่อมั่นในกันและกันไม่ว่าปัญหาจะเลวร้ายระดับโลกแค่ไหน พวกเขาก็จะผ่านมันไปจนได้อยู่ดี เสียอย่างเดียวคือปมตัวร้ายมันโต้ง ๆ แบน ๆ ไปหน่อย คิดว่ามันสามารถนำเสนอได้ดูน่าสะพรึงกว่านี้ แต่เพราะมันเป็นหนังครอบครัวจะให้ระดับไซไฟจ๋า ๆ เด็กก็คงไม่รู้เรื่องแน่นอน

ความแปลกใหม่ที่หาไม่ได้จากอนิเมชั่นดัง ๆ คือความคิดสร้างสรรค์ที่ผู้สร้างรังสรรค์ให้ตัวละครไม่เหมือนใคร ไม่ใช่งาน 3D ที่ตัวละครต้องตาโตออกอินเนอร์โอเวอร์แอ็คติ้ง แต่ยังผสมผสานไปด้วยงานอาร์ตสไตล์วาดเขียนด้วยสีที่สอดแทรกเข้ามา แสง สีสันที่ฉูดฉาดตัดกับอารมณ์วันสิ้นโลก และเงาที่สมจริงราวกับเป็นภาพยนตร์คนแสดง ภาพสะท้อนต่าง ๆ ทำออกมามีเงาสะท้อน การเคลื่อนไหวของตัวละครก็เหมือนคนจริง ๆ จนน่ากลัว

แถมยังมีฉากงานภาพสวย ๆ อีกมากมายที่สามารถแคปเป็นภาพวอลเปเปอร์อาร์ต ๆ อีกด้วยแน่นอนนี่คืออนิเมชั่นคุณภาพฉายโรงที่ถูกย่อลงมาที่เน็ตฟลิกซ์ เรียกได้ว่านึกถึงตอนดูงานระดับแบบ สไปเดอร์-แมน: ผงาดสู่จักรวาล-แมงมุม เลยทีเดียว งานดนตรีก็ไม่น้อยหน้าจัดเต็ม เสียงกระหึ่มรอบทิศทาง เพลงประกอบที่เข้ากับฉาก

ทั้งเพลงแทรกสไตล์หนังครอบครัวที่สามารถบิวต์เราให้อินไปกับจังหวะของหนัง ทั้งสุขและเศร้า และดนตรีที่ชวนให้นึกถึงหนังหลายสไตล์ทั้งแบบซูเปอร์ฮีโร่ หรือแนวไซไฟ ซึ่งทำให้ดนตรีประกอบมีความหลากหลายและแหวกแนวไม่เหมือนใครมาก ยิ่งบวกกับเสียงพากย์ที่ถึงใจถึงอารมณ์มันยิ่งเสริมให้หนังดีมาก ๆ เลยทีเดียว

ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าถ้าคุณข้ามไม่ดูเรื่องนี้ คุณจะต้องเสียใจมาก ๆ ผมยกให้เป็นอนิเมชั่นยอดเยี่ยมประจำปี 2021 ที่ควรค่าแก่การรับชมอย่างแท้จริง ดูได้ทั้งครอบครัว ครบทุกรส ไอเดียสุดใหม่ในทุกฉาก มุกทันสมัยไม่มีตกยุค โซนี่ได้งานมาสเตอร์พีชอีกชิ้นต่อจากสไปเดอร์เวิร์สแล้ว

องค์ประกอบในด้านงานภาพอนิเมชั่นที่แปลกใหม่ ตัวละครที่น่าสนใจ ดนตรีประกอบที่หลากหลาย ประเด็นครอบครัวที่สามารถเข้ากันได้กับแนวไซไฟ ผมว่าหลังจากนี้ไปอนิเมชั่นเรื่องนี้จะต้องได้รับการพูดถึง แม้ไม่ใช่ในประเทศไทยไทยก็ต้องเป็นในวงการต่างประเทศแน่นอน เพราะเท่าที่ไปดูกระแสมามีแต่คำชมมากมาย จนแอบเสียดายที่หนังไม่ได้ฉายในโรง ไม่งั้นมันจะมีความอลังการ ตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้

แต่ยังไงก็เป็นกำไรของคนที่มีเน็ตฟลิกซ์มาก ๆ ยิ่งมีเสียงไทยแล้วก็อยากจะให้เน็ตฟลิกซ์โปรโมทมากกว่านี้จริง ๆ อย่าลืมไปหามาดูกันนะครับ ผมบอกได้อย่างเดียวว่างานชิงรางวัลอนิเมชั่นปีนี้ ดิสนีย์มีหนาวบ้างแล้วนะครับ

The Mitchells vs. the Machines เป็นหนังครอบครัวที่อบอุ่น เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน ชวนให้นึกถึงหนังอย่างเรื่อง ‘Coco วันอลวน วิญญาณอลเวง’ ที่ทำเอาใครต่อใครน้ำตาตกในความซาบซึ้งกันมาแล้ว ในหนังเรื่องนี้ผู้กำกับได้ถึงสะท้อนพฤติกรรมของสังคมในปัจจุบันอย่างเช่น การกินข้าวร่วมกันในครอบครัวแล้วต่างคนต่างก้มหน้าเล่นมือถือ หรือปัญหาทางความคิดที่ไม่ลงรอยกันระหว่างพ่อแม่และลูกที่ต่างคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง

ลูกอยากเรียนคณะนี้แต่พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วย ลูกก็คิดว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เข้าใจเราบ้างกลายเป็นช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว หรือ มุมมองที่ว่าทำไมบ้านข้างๆดูมีความสุขและสมบูรณ์กว่าครอบครัวเรา เป็นต้น มุมมองต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลายครอบครัวหรือใครหลายๆท่านก็อาจจะประสบพบเจอกันมาบ้างไม่มากก็น้อยสิ่งต่างๆเหล่านี้ถูกถ่ายทอดลงในภาพยนต์เรื่องนี้อย่างลงตัว และหนัง

ก็ได้เสนอให้เห็นว่าทุกคนทุกครอบครัวมีสิ่งดีๆในแบบของตัวเอง นอกจากความประทับใจในความครัวแล้วหนังยังพาคุณไปพบกับมุกตลกๆของผู้กำกับที่สอดแทรกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ทำให้ดูแล้วไม่รู้สึกเบื่อกันเลย CG บอกได้คำเดียวว่าสวยงามมาก และในบางครั้งก็สลับจากภาพ CG กับภาพจริงด้วย แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันขัดกันเลย

ที่เซอร์ไพรส์กว่านั้นคือเจ้าหมาปั๊กของเรื่องนี้ที่ทำเอาหลายคนใจละลายไปกับความน่ารักของมัน ใช้น้องหมาจริงๆมาพากษ์ด้วย ตื่นเต้นใช่ไหมล่ะครับ ตอนผมไปอ่านเจอครั้งแรกยังอดยิ้มไม่ได้เลยกับความน่ารักของผู้กำกับที่มีต่อหนังเรื่องนี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากไปเรียนที่โรงเรียนภาพยนตร์ และเดี๋ยวก่อน พวกคุณบางคนอาจจะเรียกพ่อที่น่ารักของคุณว่าพ่อและดูว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง Mitchells vs the Machines

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการทำงานหรือวิธีที่จะไม่ทำงานในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ลูกสาวมีปัญหาทางจิตใจ/อารมณ์กับพ่อ (และเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Why Are Dads เป็นอย่างมาก) และเหตุใดการสนทนาง่ายๆ จึงทำได้ คุณรู้ ทำมาก. โอ้ และเฟอร์บี้จะฆ่าพวกคุณทั้งหมด

และมากกว่าที่จะเปรียบเทียบกับ Goofy Movie แล้ว คุณรู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร? มันคือเดอะซิมป์สันส์ในตอนที่มัน *ยอดเยี่ยม* – การเสียดสีที่ล้ำสมัย มีสติสัมปชัญญะ และรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมในตอนนี้ แต่ด้วยหัวใจที่โตพอๆ กับ… รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน!

สรุป เป็นหนังที่อยากชวนให้ทุกครอบครัวที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดคุยกันได้ใช้โอกาสที่ต้องกักตัวอยู่บ้านมาดูหนังเรื่องนี้กัน นี่คือหนังที่ตอบทุกโจทย์เหตุการณ์ในปัจจุบันได้ดีเลยทีเดียว รู้สึกอิ่มเอม ดูสนุกซึ้งน้ำตาซึมได้เลย รับรองว่าดูแล้วจะเข้าใจในกันและกัน ลดช่องว่างระหว่างวัยลงแน่นอนครับ ส่วนตัวขอให้คะแนนไป 10/10 ครับ

 

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *