รีวิว The 8th Night
The 8th Night หรือ คืนที่ 8 หนังเกาหลีจากทุนสร้าง Netflix เป็นผลงานของผู้กำกับหน้าใหม่ Tae-Hyung Kim ที่จะมาในธีมสืบสวนและสยองขวัญ หนังจะพาเราไปรู้จักปีศาจร้ายในศาสนาพุทธที่ถูกจองจำโดยพระพุทธองค์ และเรื่องราวสุดซับซ้อนของเหล่าผู้ตามล่าปีศาจ และปริศนาที่ยังไม่ถูกเฉลย หนังเรื่องนี้มีพากย์ไทยด้วย ลองรับชมตัวอย่างได้เลย รีวิว The 8th Night รีวิวหนังสนุก
เว็บดูหนังเถื่อน พบกับเรื่องราวของดวงตาปีศาจร้ายที่ถูกจองจำไว้ในหีบสองกล่อง กล่องหนึ่งอยู่สุดตะวันออกกลางทะเลทรายภายในบรรจุดวงตาสีเลือด อีกกล่องอยู่สุดตะวันตกท่ามกลางหุบเขามีดวงตาสีนิล ดวงตาสีนิลอยู่ในความดูแลของพระสงฆ์และหญิงสาวพรหมจรรย์ที่ส่งต่อมาหลายรุ่น แต่อยู่มาวันหนึ่งปีศาจตนนี้ได้กลับมาอีกครั้งด้วยมนต์พิธีกรรมในวันจันทร์สีเลือด ดูหนังเถื่อน
หนังฟรี และเมื่อมันฆ่าครบเจ็ดคน ถึงคราวนั้นมันจะได้รับดวงตาทั้งสองและคืนชีพกลับมาอย่างสมบูรณ์ หลวงพี่ผู้ดูแลหีบดวงตาจึงส่งพระหนุ่มนามว่าชางซอก ให้ไปหาหลวงพี่จินโซนักปราบปีศาจ เพื่อเตรียมทำลายพิธีคืนชีพปีศาจตนนี้ ในขณะเดียวกันนักสืบโฮเทตามสืบคดีฆาตกรรมสุดลึกลับ เมื่อสภาพศพคนแห้งเหี่ยวเกินธรรมชาติ ทำให้เขาจึงต้องไขคดีนี้ออกให้ได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรติดตามต่อได้ภายในเรื่อง หนังใหม่
ดูหนัง การดำเนินเรื่องที่น่าค้นหาในช่วงแรกจะทำให้เราได้รู้จักความเป็นมาปีศาจภายในเรื่อง ที่จะต้องเหยียบก้อนหินทั้งเจ็ด (ในที่นี้หมายถึงการสิงสู่และฆ่าคน) หนึ่งในนั้นจะต้องมีหญิงพรหมจรรย์ด้วย ถึงจะเจอดวงตาที่พลัดพรากจากกัน และเพื่อที่จะสามารถเปิดหีบได้ ต้องใช้ร่างของพระสงฆ์ที่เป็นผู้ดูแลดวงตาสีนิล โดยที่ปีศาจจะเริ่มไล่ล่าผู้คนคืนละคนไปเรื่อย ๆ ในขณะที่พระทั้งสองจะต้องหาหินทั้งเจ็ดก่อนที่ปีศาจตนนั้นจะเหยียบครบ ดูหนังออนไลน์
ดูหนังฟรี แต่เรื่องราวกลับดำเนินได้อย่างช้ามากในฝั่งของตัวเอก มีการเล่าปมของหลวงพี่ และเดินหาชิว ๆ ในช่วงแรก ๆ ในขณะที่ตัวร้ายเริ่มฆ่าคนไปเกือบครบในช่วงแรกแล้ว การดำเนินเรื่องของพระสองรูปนี้พึ่งเริ่มต้นเอง (เริ่มหาอย่างจริงจัง) ส่วนตำรวจเองเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักในช่วงแรกที่จะได้เห็นสิ่งที่ปีศาจทำ ดูหนัง และเป็นส่วนเฉลยที่ทำให้เรารู้ความเป็นมาของปีศาจด้วย แต่กว่าจะเฉลยปมก็เกือบช่วงท้ายเรื่อง ดูหนังออนไลน์
ซึ่งเมื่อปมถูกคลายออกมันทำให้เราตะลึงในความหักมุมของเรื่องทำให้หนังเรื่องนี้กลับมาดูอีกครั้ง แต่ก็คิดผิดเมื่อตอนท้ายกลับมาตกม้าตายเพราะความไม่สมเหตุสมผลของเรื่องถาโถมเข้ามาเรื่อย ๆ และการบิ้วอารมณ์คนดูทำได้ไม่ดีเท่าทีควร ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องจึงน่าเบื่อไปเลย และบทสรุปของเรื่องก็ทำออกมาได้แย่มาก
แม้ว่าตัวหนังจะเป็นธีมหนังสยองขวัญแต่ภายในเรื่องกลับไม่มีฉากที่ทำให้เรารู้สึกกลัวได้เลย ภายในฉากจะเห็นเพียงแค่เลือด และมนุษย์ที่ถูกปีศาจสิงสู่มีลักษณะคล้ายซอมบี้ตามหนังเรื่องอื่นๆ จึงทำให้ไม่ได้มีความน่ากลัวเพราะเคยเห็นจนชินแล้ว ในทางกลับกันหนังพยายามที่จะทำออกเป็นแนวสืบสวนซะมากกว่า ค่อย ๆ เล่าความเป็นมาของแต่ละตัวละคร แต่นำมาเล่นประเด็นได้ไม่ค่อยตรงเท่าไหร่
วิธีการเล่าอาจจะทำให้ผู้ชมงงได้ ยิ่งการเล่นประเด็นเกี่ยวกับกิเลส ความรับผิดชอบ และบาปที่เกิดขึ้น ซึ่งจะสื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือตัวแทนของปีศาจ เหมือนปีศาจเป็นตัวแทนของบาปแต่ละคน และตอนท้ายก็จบลงด้วยการทำเป็นหนังปราบผีที่ทำออกมาค่อนข้างเวอร์มาก แต่ไม่มีความสนุกเลย
สิ่งที่แบกเรื่องนี้ไว้ได้คือการปูเรื่องที่น่าสนใจ และการแสดงของ Nam Da-Reum (เคยเล่นซีรีส์ Start-up) และ Lee Sung-Min (เคยเล่นซีรีส์ The beast) ที่เล่นได้ดีมาก การแสดงออกทางท่าทางทำออกมาได้ดี มีความเป็นพ่อลูกกันมากภายในเรื่อง และอีกคนคือ Kim You-Jung ที่รับบทเป็นหญิงพรมจรรย์ซึ่งบทออกมาค่อนข้างน้อยมาก แต่มาแต่ละครั้งน่ารักมาก ๆ เสียดายบทไม่ส่งให้ มีเพียงแค่ยืนมองและพูดบ้างเล็กน้อย
ผู้กำกับและผู้เขียนบทฉลาดในการเขียนบทที่จะแบ่งออกเป็นสามมุมมองเพื่อให้เราได้เข้าใจสถานการณ์ในแต่ละด้าน และการดำเนินเหตุการณ์ของแต่ละคนทำให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงแก่นเรื่องมากขึ้น ทุกคนต่างมุ่งกับงานของตน และมาบรรจบกันในช่วงกลางและท้ายเรื่อง ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเมื่อทั้งทั้งสามกลุ่มมาเจอกัน แต่ช่างน่าเสียดายที่ผู้กำกับยังเล่าเรื่องได้ไม่เก่ง และยังเล่นประเด็นต่าง ๆ ได้ไม่ค่อยดี ส่งผลให้ผู้ชมตามเรื่องไม่ทัน และกลายเป็นน่าเบื่อในที่สุด
โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องและตัวละครภายในเรื่องน่าสนใจเป็นอย่างมาก และการหักมุมที่ทำให้คนดูว้าว แต่เสียเพียงแค่การเล่าเรื่องปมที่เข้าใจยาก และแบ่งเวลาช่วงพีคได้ไม่ดี ทำให้หนังมีความน่าเบื่อเป็นระยะ จึงทำให้สองชั่วโมงของหนังมีแต่เล่าปมเดิม ๆ เหมือนวนอ่างทำให้เบื่อได้ง่าย ๆ แต่โดยรวมถือว่าดูเอาบันเทิงได้สำหรับหนังล่าผีอีกเรื่อง
เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากนักโบราณคดีที่ถูกกล่าวหาว่าหลักฐานทางโบราณคดีดวงตาสีเลือดเป็นของปลอม เขาจึงตั้งชมรมชมรมวิปัสสนาเพื่อนำหินนำทางทั้งเจ็ดมารวมตัว และนำเลือดของพวกเขามาเป็นเครื่องเซ่นให้ปีศาจ เพื่อพิสูจน์ว่าดวงตานี้เป็นของจริง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีลูกสาวบุญธรรมของเขาที่เป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ด้วย เขาได้นำเลือดของลูกสาวตนเองมาชโลมดวงตาสีเลือดเพื่อให้วิญญาณไปตามหาพระผู้ดูแลดวงตาสีนิล
ตัวเอกที่เห็นวิญญาณจึงเข้าใจผิดว่าเป็นมนุษย์ แต่ความจริงกลับเป็นดวงวิญญาณที่ถูกปีศาจจองจำไว้ ส่วนเหยื่อที่เหลือที่เคยเข้าร่วมพิธีปลุกชีพปีศาจต่างก็เป็นร่างทรงให้ปีศาจเพื่อตามหาดวงตาสีนิลต่อไป สิ่งที่ผู้สร้างทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดคือการที่ถ่ายทอดภาพของหญิงพรหมจรรย์จะต้องเป็นหินสุดท้ายที่ปีศาจเหยียบ และเหล่าตัวเอกตามหาหญิงสาวพรหมจรรย์เพราะคิดว่ายังไม่ตาย แต่ทั้งที่จริงเธอตายไปนานแล้ว นี้เป็นจุคพีคภายในเรื่อง แต่ก็จะไปทำให้สิ่งที่อธิบายในช่วงแรกกลายเป็นผิด
ส่วนประเด็นของหลวงพี่ที่มีต่อตัวเอกคือ ลูกเมียของหลวงพี่เคยประสบอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิต ซึ่งอีกฝั่งก็เป็นเด็กกับผู้หญิงเหมือนกัน จึงมีเพียงแค่ตัวเอกเท่านั้นที่รอดในอุบัติเหตุครั้งนั้น และถูกส่งไปที่วัด จึงทำให้ปีศาจเข้ามาล่อลวงหลวงพี่ให้ฆ่าตัวเอก แต่หลวงพี่ไม่ยอมและเสียสละตัวเอง ผู้สร้างน่าจะต้องการสื่อว่า ปีศาจเป็นเสมือนกิเลสของมนุษย์ที่ต้องการจะปลดปล่อยออกมา และหลวงพี่ต้องปล่อยวางสิ่งที่ผูกติดกับเขามาตั้งแต่ต้นด้วยการช่วยเหลือตัวเอก และยอมเสียสละตัวเองไปเพื่อเข้าถึงนิพพาน
สิ่งที่น่าเสียดายอีกอย่างคือบทของนักสืบที่เหมือนจะเป็นกุญแจหลักในตอนจบที่รู้ปัญหาทั้งหมด แต่กลับโผล่มายิงแค่หลวงพ่อ และโดนตัวเอกที่โดนสิงผลักชนต้นไม้ตาย จึงทำให้บทจบเพียงแค่นี้ ทั้งที่ปมของตัวละครนี้ยังแก้ไม่เสร็จเลย และในท้ายที่สุดปีศาจที่คืนชีพสมบูรณ์แล้วในร่างตัวเอก ถูกย้ายเข้าไปในร่างหลวงพ่อและตายไปพร้อมกัน เป็นอะไรที่สร้างความงงมาก ๆ ทั้งที่ในเรื่องกล่าวไว้ว่าถ้าได้ครบคือไร้เทียมทาน แต่กลับแพ้พลังมิตรภาพ
เมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อน มีปีศาจตัวหนึ่งต้องการมอบความเจ็บปวดให้กับมนุษย์ทุกคน ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นเรื่องราวแย่ ๆ เหมือนตกนรกทั้งเป็นประมาณนี้ค่ะ ทีนี้พระพุทธเจ้าก็มายับยั้งไว้ทัน ด้วยการควักดวงตาของปีศาจออกมาทั้งสองข้าง คือดวงตาสีนิลกับดวงตาสีเลือด แล้วจับปิดผนึกใส่กล่องสรีรธาตุเอาไปไว้คนละทิศคนละทางที่ไกลแสนไกลไม่ให้กลับมาเจอกันอีก ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน
ความซวยก็มาเยือนคนในละแวกนั้นทันทีตามสเต็ปของหนังเลย เหตุเกิดเพราะคนบางคนอยากเบ่งเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติให้โลกได้รับรู้ บทหนังก็จะส่งไม้ต่อให้ พระภิกษุสงฆ์หนุ่มน้อยหน้าใส “นัมดารึม” และอดีตพระอาจารย์ “อีซองมิน” มารับช่วงไล่ล่าผีร้ายก่อนถึงคืนวันที่ 8 ไม่งั้นโลกมีพังแน่ ๆ
รวม ๆ แล้วการดำเนินเนื้อเรื่องอยู่ในระดับน่าสนใจอยู่ค่ะ ไม่ค่อยน่าเบื่อ มีลุ้น ๆ บ้าง ตกใจฉากผีร้ายแบบนิดหน่อยพวกหักคอ ฉีกยิ้มหลอนอะไรแบบนี้ บรึ๋ยย ในส่วนของอารมณ์หนังมันจะให้แนวไล่ตามหาผีมากกว่าแล้วก็มีพวกสืบสวนมาแทรกแซงให้เรื่องยุ่งยากกว่าเดิมอีก ขอบอกเลยว่าพล็อตเรื่องดูน่าสนใจขึ้นในระดับหนึ่ง น่าจะเป็นจุดที่หลอกให้คนดูเข้าใจผิด ๆ แล้วมาเฉลยทีหลังให้ร้อง อ๋ออ กันอีกที ( ฮ่า ๆ ) นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องราวน่ารัก ๆ ของนักแสดงให้พวกเราได้รับชมกันอีกด้วย เช่น “นัมดารึม รับบทเป็น ชองซ็อก” กับอาจารย์ของเขา และ “คิมยูจอง รับบทเป็น แอรัน”
The 8th Night หนังเล่าเรื่องราวของศาสตราจารย์คิม จุนชอลนักโบราณคดีชาว้กาหลีใต้ ที่ใช้ชีวิตไล่ล่าตำนานผอบที่ชายแดนอินเดียและปากีสถาน กว่ากันว่าเป็นที่พระพุทธเจ้าได้ขังบางสิ่งบางอย่างที่ชั่วร้ายเอาไว้เมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ซึ่งหากเขาค้นพบเขาก็จะพิสูจน์ให้โลกรับรู้ว่าตำนานที่กล่าวไว้ในวิชรสูตรที่เก็บซ่อนไว้นั้นเป็นเรื่องจริง
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อ 2500 ปีก่อน ปีศาจตนหนึ่งเกลียดชังมนุษย์ จึงทำการเปิดประตูนรก เพื่อต้องการมอบความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับมนุษย์ แต่พระพุทธเจ้า ได้ปรากฏกายต่อหน้าเจ้าปีศาจนั้น แล้วก็ควักเอาดวงตาสีเลือดข้าง และดวงตาสีนิลอีกข้างหนึ่ง อันเป็นแหล่งพลังของเจ้าปีศาจร้ายนั้นออก แต่เจ้าดวงตาทั้งสองก็พยายามหนีห่างจากพระพุทธองค์ ไม่นานนักเจ้าดวงตาสีนิลก็ถูกจับมาอยู่ในพระหัตถ์ของพระพุทธองค์อีกครั้ง
แล้วก็ขังมันไว้ในกล่องสรีรธาตุ แต่เจ้าดวงตาสีเลือดนั้นกลับหนีออกไปได้ ด้วยการซ่อนอยู่ในร่างของคนเป็นเวลา 7 วัน เมื่อถึงค่ำคืนของวันที่ 8 ดวงตาสีเลือดก็หยุดหนีแล้วหันหลังกลับมาดู โดยคิดว่าตนเองหนีมาไกลมากพอแล้ว แต่เมื่อหันหลังกลับไปดูก็พบว่า หนทางที่คิดว่ายาวไกลนั้นเป็นเพียงแค่สะพานหิน 8 ก้อนที่เรียงกันในลำธารสายเล็กๆ แคบ ๆเท่านั้น ดวงตาสีเลือดตระหนักว่าไม่อาจจะหนีจากอำนาจของพระพุทธเจ้าได้ จึงเสเเสร้งยอมจำนน แล้วถูกจับขังไว้ในกล่องสรีระธาตุอีก 1 กล่อง พระพุทธเจ้าได้นำดวงตาที่ถูกผนึกทั้งสอง ข้างหนึ่งนำไปไว้ที่ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ฝั่งตะวันตก อีกข้างหนึ่งนำไปไว้ที่หน้าผาสูงชันฝั่งตะวันออก แล้วส่งตรัสแก่สาวกของพระองค์ว่าอย่าให้ดวงตาทั้งสองกลับมาพบกันอีก และนี่คือโชคชะตาของพวกเจ้า”
ซึ่งจากการค้นหามาอย่างยาวนาน ในทะเลทรายของชายแดนอินเดียปากีสถานนั่นเอง เขาก็พบผอบหนึ่งจนได้ และเมื่อข่าวการค้นพบกับประโคมออกไป ก็มีหลายหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบโบราณวัตถุชิ้นนี้ รวมถึงการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์โดยใช้คาร์บอน 14 ด้วย กลับกลายเป็นว่า โบราณวัตถุชิ้นนี้มีอายุไม่ถึง 2,500 จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กลายเป็นว่าศาสตราจารย์คิม จุนชอล เป็นคนปลอมแปลงโบราณวัตถุชิ้นนี้ขึ้นมาเอง หลังจากนั้นชีวิตของศาสตราจารย์คิมก็ตกต่ำไร้ความเชื่อถือ แต่กระนั้นเขาก็ยังหาทางพิสูจน์ว่าตำนานและผอบที่เขาค้นพบนั้นคือของจริง
จนเหตุการณ์ผ่านไป 14 ปีก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นคือพระจันทร์กลายเป็นสีแดงเลือด ศาสตราจารย์คิมก็ได้อ่านจารึกที่เจอพร้อมกับผอบ แล้วก็ประกอบพิธีกรรมปลุกเสกดวงตาปีศาจสีเลือด เพื่อหวังว่าหากประกอบพิธีเสร็จประตูนรกก็จะเปิดออก แล้วผู้คนก็จะกลับมาเชื่อว่าศาสตราจารย์คิมไม่ได้ปลอมแปลงโบราณวัตถุตามตำนานในพระพุทธศาสนา และในท้ายที่สุด ในช่วงที่กำลังจะท้อแท้และสิ้นหวัง ศาสตราจารย์คิม ทำการทดลองครั้งสุดท้าย และก่อนที่เขาจะปิดชีวิตตัวเอง ดวงตาสีเลือดก็ปรากฏขึ้น
ที่วัดแห่งหนึ่งบนภูเขา ฮาจอง พระสงฆ์ชรารูปหนึ่งก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ท่านคือผู้ที่สืบทอด ป้องกันไม่ให้ดวงตาปีศาจทั้งสองออกมาพบกันแต่โชคร้ายที่ท่านรู้ตัวว่าใกล้จะมรณภาพ จึงสั่งให้ จองซอก ศิษย์เอก พระหนุ่มผู้ใสซื้อบริสุทธิ ผู้บำเพ็ญตนด้วยการนิ่งเงียบ ๆ ไปตามหาตัวพระสงฆ์รูปหนึ่งชื่อว่า ซอนฮวา ที่ออกจากวัดไปนานแล้วไปทำอาชีพก่อสร้าง มารับหน้าที่สืบทอดภาระที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นถึง 2500 ปีต่อจากท่าน ในการป้องกันไม่ให้ดวงตาปีศาจสีเลือดเดินทางไปหาดวงตาสีนิล