รีวิว scream 2022
ดูหนังเถื่อน Scream (2022) เป็นภาคที่ 5 ของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งเป็นเวลากว่า 11 ปีแล้วตั้งแต่ภาค 4 และภาคนี้เป็นภาคแรกที่ผู้กำกับไม่ใช่ Wes Craven เนื่องจากเขาเสียชีวิตไปเมื่อปี 2015 ภาคนี้จึงเป็นเหมือนการอุทิตให้แก่เขา ผู้กำกับผู้ริเริ่ม และทำแฟรนไชส์เรื่องนี้มาถึง 4 ภาค และในภาคนี้มีผู้กำกับ 2 คน ได้แก่ Matt Bettinelli-Olpin และ Tyler Gillett โดยภาคนี้จะเป็นภาคที่สร้างมาเพื่ออุทิศให้แก่ผู้กำกับ Wes Craven ผู้ริเริ่มแฟรยนไชส์นี้ ซึ่งภาคนี้รับประกันความดุเดือด เลือดสาดมากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา และให้เราตามหาฆาตกรตัวจริงไปพร้อมกับตัวละครหลัก อย่างสนุก ตื่นเต้น และไปลุ้นไปกับสถานการณ์ในหนัง รีวิว scream 2022 รีวิวหนังสนุก ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
โดยภาคนี้จะเป็นตัวละครใหม่แทบทั้งหมด แต่ก็มีการนำตัวละครของภาคเก่าๆหลายคนมาในภาคนี้เหมือนกัน ซึ่งมีนักแสดงของภาคแรก และตัวละครคลาสสิคอย่าง ซิดนีย์ นางเอกภาคแรก เกล และ ดิวอี้ แถมภาคนี้ยังมีการอ้างอิงและพูดถึงภาคแรกเยอะพอสมควร และก็ล้อหนังตัวเองทั้งเรื่อง แต่ไม่ได้เยอะจนน่าเบื่อ แถมมีการดำเนินเรื่องผ่านตัวละครหลักที่เป็นแฟนหนังไล่เชือดเหมือนกับภาคแรก และมีการล้อตัวเองว่า ภาคต่อห่วย แฟนหนังอยากได้แบบภาคแรก และภาคนี้ก็จัดให้ เพลินมากๆ และสนุกจริงๆ เป็นภาคต่อที่สมบูรณ์แบบ
ในส่วนของการแสดงในเรื่อง นักแสดงทุกคนทำออกมาได้ดี ไม่ติดตรงไหนเลย ทุกคนเล่นได้สมบทบาทที่ตัวเองได้นับ มีการวางโครงเรื่องมาดี เล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่ยืดเยื้อ กระชับ เข้าใจได้ง่าย แถมยังตื่นเต้น ไม่มีตอนไหนน่าเบื่อเลย และสิ่งที่ผมชอบมากๆคือ ภาคนี้ฆาตกรโหดมาก โหดกว่าภาคเก่าๆเยอะเลย ภาคเก่าๆรู้สึกจะไล่ฆ่าทีละคน
โดยฆ่าวันละคนไปเรื่อยๆ แต่ภาคนี้ ฆาตกรยังคงฆ่าทีละคนเหมือนกัน แต่วันนึงไม่ได้ฆ่าคนเดียว คือฆ่าไปเรื่อยๆเท่าที่จะฆ่าได้ คือตายกันทั้งเรื่องจริงๆ โหดเกิ้น อีกอย่างที่ดีมากๆ คือการปรับหนังให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน มีฆาตกรในภาคนี้การใช้เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมาเป็นตัวช่วยในการหลอกล่อ และฆ่าเหยื่อ ซึ่งผมชอบในส่วนนี้จริงๆ
ส่วนเสียงประกอบฉากต่างๆ รวมถึงเพลงทำได้ดีมาก ใส่เสียงมาให้คนดูลุ้นไม่หยุด แต่โดยรวมแล้วบันเทิงจริงๆ เป็นหนัง Slasher ไล่เชือดที่ดีเรื่องนึงเลย แต่เนื้อเรื่องมันก็เดิมๆไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งมาก เน้นย่อยง่าย มีแค่ไล่ฆ่ากัน หาตัวฆาตกร และก็แฟนเซอร์วิสกับล้อหนังตัวเองรัวๆ แต่ก็ปั่นดี ไม่ถึงกับเยอะจนน่ารำคาญ โดยรวมแล้วอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เหมาะสำหรับไปดูกับเพื่อนๆ และครอบครัว บันเทิงมากๆ รับรองไม่เสียดายค่าตั๋ว ให้คะแนนไว้ที่ 7.5/10 แล้วกัน
หนังไล่เชือดที่ห่างหายจากภาค 4 มา 10 ปี ซึ่งภาคนี้ก็ทำในช่วงครบรอบ 10 ปีแบบเหตุการณ์ในเรื่องที่ผ่านๆ มามักกินเวลาห่างกัน 10 ปี ก็จะมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากากผีมาไล่ฆ่าคนในเมืองวูดส์โบโร ซึ่งแฟนๆ หนังชุดนี้คงจำเรื่องราวได้ดีอยู่แม้จะห่างมานับสืบปีแล้วก็ตาม ซึ่งสาเหตุที่หยุดไปหลักๆ ก็คงเป็นเรื่องบทเริ่มตัน คะแนนวิจารณ์ในแต่ละภาคต่ำกว่าภาคแรกมากมาย จนถ้าทำต่อไปก็คงกลายเป็นแฟรนไชนส์สยองขวัญเรื่องอื่นๆ
ที่เอากลับมาแล้วดับสนิทตอกฝาโลงมากกว่าจะเป็นการฟื้นคืนชีวิต ในภาคนี้ทางผู้สร้างก็เลยไม่ใช้เลข 5 เป็นภาคต่อ แต่ใช้ชื่อ Scream แบบภาคแรกกันตรงๆ ซึ่งก็เหมือนเป็นการท้าทายไปยังแฟนๆ ให้มาพิสูจน์ว่าแฟรนไชนส์หนังสืบสวนไล่เชือดเรื่องนี้ยังมีดีพอที่จะกลับมาได้อีกครั้งจริงหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เหมือนเป็นการหวนคืนกลับมาของสครีมที่ดีสุดรองจากภาคแรกเลยทีเดียว
เกิดคดีฆาตกรรมแบบเดิมขึ้นอีกครั้งในเมืองวูดส์โบโร ทำให้ “แซม คาร์เพนเตอร์” ตัวเอกในภาคใหม่ต้องกลับเมืองนี้อีกครั้งหลัง เพราะเรื่องราวนี้มีความเกี่ยวข้องกับความลับของครอบครัวเธอ แต่ทางตำรวจกลับช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้มาก ทำให้เธอต้องไปหาดิวอี้ อดีตนายอำเภอที่ผ่านเหตุการณ์สยองขวัญนี้มาตลอด เพื่อหวังว่าเขาจะใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยเธอตามล่าฆาตกรคนใหม่ครั้งนี้ได้
ภาคนี้ได้ผู้กำกับจาก หนัง Ready or Not (เกมพร้อมตาย) Matt Bettinelli-Olpin /Tyler Gillett กำกับสองคนรวมถึงสครีมภาคนี้ด้วย และก็ยังได้ผู้เขียนบทจาก Ready or Not คนเดิมมาร่วมทีมสร้างเรื่องนี้ ร่วมกับอีกหนึ่งผู้เขียนบทจาก Zodiac หนังฆาตกรรมสร้างจากเรื่องจริงของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งทำให้ทีมงานสร้างสครีมภาคนี้เรียกว่าแน่นปึ๊กด้านคุณภาพมาก ตัวหนังจึงมาพร้อมกับเรื่องราวที่เป็นภาคต่อเหมือนยกเครื่องใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ใหม่ไปทั้งหมด เรียกว่าเป็นงานสร้างที่พยายามยึดโยงสครีมภาคแรกมากที่สุดกว่าภาคไหนๆ และไม่ใช่การยึดโยงแบบมั่วซั่วด้วย แต่เป็นการยึดโยงแบบอ้างอิงแนบสนิทไปกับภาคแรกตั้งแต่เริ่มฉากแรกจนฉากสุดท้าย จนคุณสามารถดูแค่ภาคแรกแล้วข้ามมายังภาคนี้เลยก็ได้ เพราะเหมือนเป็นภาคต่อจากภาคแรกแบบที่สมบูรณ์กว่าภาคที่ผ่านๆ มาทั้งหมด
หนังเปิดเรื่องโดยใช้ฉากหญิงสาวรับโทรศัพท์ในบ้านคนเดียวเหมือนภาคแรก ก่อนที่จะเจอกับเกมทายปัญหาจากหนัง “สแต็ป” ซึ่งก็เหมือนเป็นการเล่นกับแฟนๆ สครีมไปด้วยพร้อมกัน ก่อนที่จะเกิดฉากไล่ล่าในบ้านที่อัพเกรดอุปกรณ์ให้ทันสมัยขึ้นตามยุค พร้อมจบด้วยฉากฆาตกรรมตามสูตรเดิม แต่แค่ฉากเปิดตัวก็ทำให้เราได้เห็นแล้วว่าเป็นงานที่ยึดโยงแบบไม่ใช่ลอก แต่เป็นการคาราวะงานต้นตำหรับพร้อมกับใส่สิ่งใหม่ๆ ลงไปในตัว
ซึ่งเรื่องราวในเรื่องจะมีอ้างอิงสิ่งต่างๆ จากภาคแรกมาหลายอย่างมากมาย ทั้งตัวละครเดิมที่คนไม่คิดว่าจะกลับมาได้ก็กลับมา ฉากสถานที่เกิดเหตุในภาคแรกก็กลับมา เรื่องราวของฆาตกรก็เกี่ยวพันกับตัวละครในภาคแรกโดยตรง ซึ่งแม้จะเป็นการเขียนเรื่องงอกมาภายหลัง แต่ก็มีเหตุผลพอทำให้ผู้ชมเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นจุดแข็งของสครีมที่ต่างออกไปจากพวกแนวไล่เชือดเรื่องอื่นๆ (อย่าง เจสัน) เพราะฆาตกรในสครีมต้องมีเหตุผลแรงจูงใจที่น่าเชื่อถือพอกับการลุกมาใส่หน้ากากผีย้อนรอยคดีเดิมๆ
ในทุกภาคให้ได้ ซึ่งเป็นโจทย์หลักที่ยากสุดของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งภาคนี้ก็ทำส่วนนี้ออกมาได้ดี แบบดีกว่าภาคอื่นๆ อย่างชัดเจน ฆาตกรในภาคนี้มีความแตกต่างทั้งการลงมือและแรงจูงใจ โดยเฉพาะการอิงเรื่องราวจากภาคแรกมาเป็นเบสในการทำสิ่งต่างๆ ในเรื่องตั้งแต่แรกไปจนจบ เหมือนผู้ชมได้ย้อนรอยดูสครีมภาคแรกในอีกเวอร์ชั่นที่ต่างออกไป มีความทันสมัยกว่าหน่อยๆ แต่ก็ยังคงกลิ่นอายรูปแบบฉากไล่เชือดจากภาคแรกทำให้แฟนๆ ที่ยังจดจำภาคแรกได้น่าจะชอบภาคนี้ได้ไม่ยากแน่นอน
ตัวหนังยังยึดเอากฎของสครีมมาเป็นหลักในการเล่นเรื่องนี้เหมือนภาคแรกมากๆ ด้วย ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นกฎจากการล้อพวกหนังสยองขวัญตลอดมา อย่าง การไปไหนคนเดียวมักเจอจุดจบ ถ้าพูดเดี๋ยวกลับมานั่นคือตัวละครนั้นต้องตาย ซึ่งคนดูใครๆ ก็รู้ แต่ตัวละครในหนังมักทำอย่างนั้นอยู่ดีเหมือนบทโง่ๆ ไม่สมเหตุผลที่ต้องใส่ไว้เพื่อให้เกิดฉากสยองขวัญประกอบเรื่องเท่านั้น แต่สำหรับสครีมการเอากฎพวกนี้มาใช้คือการล้อเลียนและท้ายทายไปในตัวอย่างที่ภาคแรกทำไว้ ซึ่งภาคนี้ก็ย้อนเอากฎพวกนี้มาเล่นในแบบท้าทายหลอกล่อคนดูให้ลุ้นระทึกตามทุกครั้ง แม้สุดท้ายฉากนั้นจะไม่มีฆาตกรมาไล่เชือด แต่เราก็ยังระทึกกับการที่ตัวละครในเรื่องกำลังเดินเข้าไปสู่กฏที่ว่าไว้ได้ทุกครั้ง โดยไม่ใช่แนวตุ้งแช่ทำเสียงตกใจคนดูแบบเสล่อๆ อีกด้วย
นอกเหนือจากนั้นตัวบทสนทนาในเรื่องก็ยังเล่นมุกล้อเสียดสีจิกกัดหนังเรื่องอื่นรัวๆ ทั้งยุคใหม่ยุคเก่า อย่าง บาบาดุค ที่ในเรื่องย้ำว่าดีกว่าสแต็ป เหมือนเป็นการจงใจล้อเลียนเทียบกับตัวเอง หรือแม้แต่สตาร์วอร์ก็ยังไม่เว้น ซึ่งการจิกกัดหนังเรื่องอื่นๆ แบบนี้คือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสครีมจากผู้เขียนบทดั้งเดิมอย่าง Kevin Williamson ดังนั้นถ้าใครตามมุกเหล่านี้ทันก็จะสนุกขบขันไปกับเรื่องนี้ได้มากยิ่งขึ้นอีก
สำหรับตัวละครทั้งชุดใหม่กับชุดเก่าในเรื่องนี้จะถูกวางหลอกล่อให้เหมือนทุกคนเป็นฆาตกรได้ทุกคน ซึ่งหลายฉากก็ชวนให้เสียววาบกับบทสนทนาที่เหมือนจะบอกว่าฉันนี่แหละฆาตกรตรงๆ เป็นการปั่นหัวตัวละครใ นเรื่องพร้อมกับคนดูไ ปพร้อม ถึงแม้ตัวฆาตก รอาจจะไม่ถึงกับเดายากมาก เนื่องจากสครีมค่อนข้างมีสูตรหลักที่แฟนๆ น่าจะจดจำกันได้ แต่ในความจำนั่นทางผู้สร้างก็เอามาใช้หลอกล่อแฟนๆ ไปด้วยว่าจะใช่อย่างที่คิดจริงๆ หรือ? ซึ่งสุดท้ายถึงคุณจะเดาตัวฆาตกรถูก แต่ก็ยังต้องยอมรับว่าภาคนี้ถ่ายทอดสูตรเอกลักษณ์ความสนุกในการคาดเดาฆาตกรออกมาได้ดีจริงๆ
สำหรับนักแสดงชุดใหม่จะนำโดย “แซม” รับบทโดยนักแสดงชื่อ Melissa Barrera ที่ไม่คุ้นกันแน่นอนเพราะเป็นนักแสดงและนักร้องชาวเม็กซิกัน แต่เธอสวยคมเหมือนเป็นตัวละครที่ปั้นมาเพื่อจะให้เป็นนางเอกชุดใหม่ของแฟรนไชนส์นี้ ทั้งยังมีความหลังยึดโยงกับตัวละครในภาคแรกอีกด้วย ซึ่งในอีกแง่คือเธอก็มีสิทธิ์เป็นฆาตกรได้สูงไปในตัว และก็มีบทแฟนหนุ่มของเธอ ริชชี่ (รับบทโดย Jack Quaid) ที่เป็นตัวละครใหม่แบบไม่รู้เรื่องราวของหนังสแต็ปกับฆาตกรรมในวูดส์โบโรมาก่อน
ซึ่งบุคลิกเปิ่นๆ หลายอย่างชวนให้คิดว่านี่เป็นตัวละครแบบดิวอี้ในชุดเก่าได้เลย นอกเหนือจากนั้นก็คือตัวละครเพื่อนๆ ของเทร่าน้องสาวของแซมที่เป็นเหยื่อในฉากเปิดเรื่อง ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเอกลักษณ์น่าจดจำ อย่าง มินดี้ที่เป็นแฟนหนังสแต็ปกับรู้เรื่องกฎต่างๆ ดี ลิฟสาวเหมือนคล้ายๆ มีอาการทางจิตชวนให้คิดว่าอาจจะเป็นฆาตกร ซึ่งทุกคนมีความคลุมเครือเหมือนเป็นฆาตกรได้ทั้งหมด
ส่วนนักแสดงชุดเก่าที่กลับมาประจำอย่าง Neve Campbell ในบทซิดนีย์กับ Courteney Cox ในบทเกล อาจจะมีบทบาทน้อยสักหน่อยเพราะมาโผล่ในเรื่องเอาช่วงครึ่งหลังไปแล้ว ก็อาจจะไม่มีอะไรใหม่มากกับสองคนนี้ เพราะเป็นตัวละครขาประจำที่มาตอกย้ำการจัดการฆาตกรหน้ากากผีทุกภาคว่าต้องฆ่า ไม่งั้นนอนไม่หลับ แต่คนที่บทเยอะสุดจะเป็น David Arquette ในบทดิวอี้ที่มีเรื่องราวการแยกทางกับเกลมาประกอบ พร้อมทั้งเป็นคนที่ช่วยสืบเรื่องราวกับแซมตั้งแต่แรก
สนุกและดีมากสำหรับแฟนหนังชุดนี้ที่อาจจะคิดว่าไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ผู้สร้างสามารถนำมันกลับมาได้ เรียกว่าดีที่สุดรองจากภาคแรกออริจินอลเลยละกัน สำหรัยแฟนๆ ห้ามพลาด แต่คนที่ไม่ใช่แฟนสครีมมาก่อนไปดูก็อาจจะไม่อินอะไรมากนัก