รีวิว don’t look up

รีวิว don't look up

รีวิว don’t look up

รีวิว don't look up

ดูหนังเถื่อน Don’t Look Up เป็นผลงานการกำกับของอดัม แมคเคย์ ผู้กำกับที่มาพร้อมแนวทางการทำหนังแบบตลกร้าย โดยเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวความฉิบหายวายป่วงหลังจากที่เคท (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) นักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชาดาราศาสตร์ เธอได้ค้นพบดาวหางขนาดมหึมากำลังพุ่งตรงมายังโลกมนุษย์ โดยอานุภาพของดาวหางดวงนี้สามารถทำลายโลกทั้งดวงได้ในพริบตา รีวิว don’t look up รีวิวหนังสนุก ดูหนังออนไลน์

เคทและด๊อกเตอร์แรนดัล (ลีโอนาโด ดีคาร์ปริโอ) จึงพยายามจะส่งต่อเรื่องราวนี้ไปอยู่ในความดูแลของภาครัฐอย่างองค์การนาซา และแจ้งเรื่องให้ประธานาธิบดี (เมอรีล สตรีฟ) ทราบ ทว่าทั้งสองได้พบกับความประสาทแ-กในทุกองคาพยพ เมื่อทุกคนที่ทั้งสองพยายามสื่อสารและทำความเข้าใจกับประเด็นอันแสนหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ พวกเขากลับไม่ได้มองว่าเส้นตายของดาวหางที่จะพุ่งชนโลกในเวลา 6 เดือนข้างหน้าเป็นเรื่องเร่งด่วนคอขาดบาดตายแต่อย่างใด ดูหนังฟรี

อันที่จริงเมื่อมองในภาพรวมแล้ว Don’t Look Up ตั้งใจจะสร้างขึ้นมาเพื่อเสียดสีผู้คนสังคมอเมริกาที่มีท่าทีเพิกเฉยต่อปัญหาการเมืองระดับชาติ ซึ่งตัวเองก็ได้รับผลกระทบเต็มประตู แต่ยังไม่มีท่าทีจะรู้สึกตัวแต่ยังให้การสนับสนุนรัฐบาลที่กำลังกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าสตางค์ของตัวเอง มีเอี่ยวกับบรรดาเจ้าสัวหรือมหาเศรษฐีที่เป็นนายทุนในการเป็นพรายกระซิบข้างหูรัฐบาลชุดนั้นๆเพื่อชี้เป็นชี้ตายให้กับทางออกของมวลมนุษย์ เพียงเพราะพวกเขาจะกอบโกยผลประโยชน์ร่วมกันจากวิกฤตนั้น หาใช่มองเห็นความปลอดภัยของมวลมนุษยชาติ

ขณะเดียวกันหนังยังเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มองเห็นหลากหลายอาชีพในสังคมที่มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลัก ที่สามารถนำพาประเด็นอันแสนซีเรียสคอขาดบาดตาย ให้กลายเป็นแค่เรื่องเบาสมองเป็นสะเก็ดข่าวรายวัน ก่อนที่ผู้ชมจะหยิบเอาความสติแตก (เพราะจริงจังเกินไปของเคท) เอาไปทำมีม (Meme) ในโลกออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการนำเสนอข่าวสารการเลิกราระหว่างนักร้องป๊อปสตาร์ให้กลายมาเป็นประเด็นข่าวใหญ่ประเด็นดัง ยิ่งช่วยขับเน้นความเพิกเฉยต่อปัญหาสำคัญของสังคมได้อย่างชัดเจน

อันที่จริงแล้วการมาถึงของ Don’t Look Up ไม่ได้เพียงแต่สะท้อนความเพิกเฉยของผู้คนชาวอเมริกัน แต่ลักษณะร่วมของผู้คนเหล่านี้ ประเทศไหนๆก็มี มิหนำซ้ำภาพซ้อนทับระหว่างผู้นำของหนังเรื่องนี้กับผู้นำในบางประเทศ กลับมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันแค่เปลี่ยนบริบทฉากหลังของเรื่องเลยก็ว่าได้

Don’t Look Up ทำให้เราเห็นว่าความบิดเบี้ยวของผู้คนในสังคม ที่ไม่สนใจคำว่า “ความปลอดภัย” อันเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต หากแต่มุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวนั้น นำมาซึ่ง “หายนะ” อย่างชัดเจน และดาวหางในหนังเรื่องนี้เป็นแค่เพียงตัวแปรในการเร่งปฏิกิริยาให้เกิดไวขึ้นก็เท่านั้น

รีวิว don't look up

มีปัญหาก็อย่าไปมอง ภาพยนตร์ที่เสียดสีเรื่องการเมืองและสังคมได้อย่างเจ็บแสบ ในช่วงเวลานี้ทั่วทั้งโลกนั้นเต็มไปด้วยสถานการณ์การเมืองที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเพียงเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่มีในอีกหลายประเทศเลยทีเดียวที่มีการออกมาประท้วงหรือเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างทางการเมืองมากยิ่งขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่าการเมืองนั้นอยู่ในทุกลมหายใจของเราทุกคน

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองและสังคม หากการเมืองดีคุณภาพของชีวิตทุกคนก็จะดีและมีสวัสดิภาพไปด้วย ในขณะเดียวกันหากการเมืองไม่ดีสิ่งที่เราจะต้องพบเจอนั้นอาจจะเป็นหายนะถึงชีวิตเลยเช่นเดียวกัน

สาเหตุที่เราต้องหยิบยกประเด็นที่หนักหน่วงขึ้นมาพูดตั้งแต่ย่อหน้าแรกก็เป็นเพราะว่าภาพยนตร์ที่เราจะมาพูดถึงในวันนี้จะเป็นภาพยนตร์แนวตลกร้ายเสียดสีการเมืองและสังคมที่ทำออกมาได้อย่างเจ็บแสบจนทำให้เราต้องร้องซี๊ดตลอดการรับชมนั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง Don’t Look Up มันเป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดย Adam Mckay ซึ่งเป็นผู้กำกับแนวเสียดสีสังคมที่เคยประสบความสำเร็จอย่างงดงามถึงขั้นมีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เลยทีเดียว โดยในครั้งนี้เขาหยิบประเด็นโลกร้อนและประเด็นเกี่ยวกับการเมืองมาบอกเล่าผ่านการเสียดสีที่เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อน

ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ขนทัพนักแสดงระดับฮอลลีวูดมารวมกันหลายคนเลยทีเดียวโดยเฉพาะนักแสดงนำอย่างลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอและเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงนำระดับแม่เหล็กที่ช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

Don’t Look Up เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของหายนะที่ใกล้จะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ มีการค้นพบว่ามีดาวหางดวงหนึ่งกำลังจะพุ่งเข้ามาชนโลกในอีกไม่นาน โดยคนที่ค้นพบนั้นเป็นนักศึกษาปริญญาในสาขาดาราศาสตร์ที่มีชื่อว่าเคทและศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมิชิแกนอย่างแมนดี้

ทั้งสองคนนั้นรู้ตัวว่ากำลังค้นพบเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่อาจจะทำให้โลกใบนี้ดับสลายไปเลยก็ได้ทำให้พวกเขานั้นถูกเรียกตัวให้เข้าพบกับประธานาธิบดีร่วมกับด็อกเตอร์โอเกอร์ทอปเพื่อเปิดเผยความจริงให้กับสาธารณชนได้รับรู้ถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ใกล้จะเกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าประธานาธิบดีไม่ได้สนใจเรื่องของพวกเขาแต่อย่างใดและยังมองว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไรอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้นักศึกษาและศาสตราจารย์จึงต้องพยายามทำบางสิ่งบางอย่างแม้ว่ามันอาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่พวกเขาไม่คาดคิดและอาจจะทำลายชีวิตรวมไปถึงหน้าที่การงานของพวกเขาลงก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ได้รักความพยายามแต่อย่างใด พวกเขาได้เดินทางไปทั่วเพื่อเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ให้คนทั้งโลกได้รับรู้รวมไปถึงกับสื่อมวลชน แต่พวกเขากลับถูกมองข้ามและถูกปฏิเสธอย่างน่าเสียดาย

รีวิว don't look up

เวลาของโลกใบนี้เริ่มนับถอยหลังลงทุกทีในขณะที่พวกเขากำลังถกเถียงกันอย่างหนักว่าโลกใบนี้ควรจะแตกไปเลยหรือเราจะต้องปกป้องมันกันแน่ เพราะในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่ล้อเลียนถากถางและยังมีคนที่ต้องการจะแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวปะปนกันไป การตอบสนองที่แปลกประหลาดของผู้คนบนโลกใบนี้ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว สุดท้ายสถานการณ์ดังกล่าวจะลงเอยอย่างไรต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์

Don’t Look Up เป็นภาพยนตร์แนวตลกร้ายที่จะไม่ได้ทำให้เราหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานแต่มันจะทำให้เรารู้สึกหัวเราะในลำคอด้วยความรู้สึกขมขื่น ท่ามกลางการจิกกัดที่เจ็บแสบมันสามารถสะท้อนสังคมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ทุกวันนี้เราคิดว่าปัญหาโลกร้อนและภาวะเรือนกระจกนั้นเป็นเรื่องไกลตัวแต่ในความเป็นจริงแล้วมันได้สร้างหายนะใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เพราะปัญหาทางมลภาวะ ปัญหาเกี่ยวกับอุณหภูมิ ปัญหาน้ำท่วม แผ่นดินไหว โคลนถล่ม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนของเราแต่เราก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจและทำเหมือนกับว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรา

ขอเตือนไว้ก่อนว่าในช่วงเริ่มต้นที่เป็นการปูประเด็นนั้นภาพยนตร์จะแห้งแล้งเป็นอย่างมาก เรื่องราวออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำไปแต่หลังจากที่เข้าที่เข้าทางแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้จะตบหน้าเราอย่างจังจนทำให้เรานั้นต้องร้องซี๊ดตลอดการรับชมหลังจากนั้นเลยทีเดียว

เพราะหลังจากนี้ภาพยนตร์จะจิกกัดทุกคนบนโลกใบนี้ไม่เว้นแม้กระทั่งเราทุกคนและกลุ่มคนที่โดนมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพและไม่สนใจปัญหาของประชาชน สอนเพียงแค่ความนิยมและคะแนนเสียงเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้เท่านั้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมนายทุนและวัฒนธรรมบริโภคนิยมอีกต่างหาก

แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจและจุดเด่นมากมายแต่ก็ต้องอย่าลืมว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องนั้นมีจุดด้อยของตัวเอง อย่างที่เรากล่าวไปว่าในช่วงแรกนั้นการนำเสนอค่อนข้างแย่จนทำให้เรารู้สึกเบื่อได้ นอกจากนี้การตัดต่อยังทำออกมาได้ไม่ค่อยดีจนทำให้ภาพยนตร์ยืดเยื้อเกินกว่าความจำเป็น นักแสดงมีเป็นจำนวนมากเรียกได้ว่าเป็นการรวมดาวฮอลลีวูด แต่บางคนก็ไม่จำเป็นบางคนมาก็ใช้ไม่คุ้ม

Don’t look up เป็นภาพยนตร์ที่ผมตัดสินใจอยู่สักพักว่าจะดูหรือไม่ดูดี เพราะได้ไปอ่านรีวิวของ Rogerebert เขาให้คะแนนค่อนข้างต่ำจนแอบคิดไปว่ามันต้องเป็นหนังที่น่าเบื่อแน่ ๆ จนกระทั่งภาพยนตร์เข้า Netflix ไทย และก็มีคนพูดถึงหลายต่อหลายคน จนทำให้คิดว่าดูก็ได้ เพราะนอกจากคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินของ Rogerebert แล้วก็ยังหาเหตุผลที่จะไม่ดูไม่ได้ ทั้งนักแสดงเอย ผู้กำกับเอย มันกระตุ้นความตื่นเต้นให้ดูอยู่แล้ว และนี้คือรีวิวครับ

รีวิว don't look up

ภาพยนตร์เรื่อง Don’t look up เป็นการสะท้อนความเป็นจริงใจปัจจุบัน ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะบอกว่า “สร้างจากความจริงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต” แต่ผมเชื่อว่าเขาสร้างจากความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นเรื่องราวของ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนกับลูกศิษย์ ซึ่งแน่นอนไม่ใช่มหาวิทยาลัย ไอวีลีก (มหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลก) Dr. Randall Mindy ที่เล่นโดย Leonardo DiCaprio และ Kate Dibiasky (Jennifer Lawrence) ลูกศิษย์ ที่ค้นพบดาวหางลูกใหม่ขนาดมหึมา ที่สำคัญคือมันกำลังจะพุ่งชนโลกและทำให้มนุษย์สูญพันธุ์อีกภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้

หนังเรื่องนี้ดูจะถูกใจคอหนังชาวไทยจำนวนมากเหตุผลเพราะว่ามันเป็นตัวจิกกัด รัฐบาลทางอ้อมที่เป็นวลีอย่าง “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด” ซึ่งมันแล้วแต่ผู้ดูจะตีความ

McKay ผู้กำกับและมือเขียนบทรางวัล Oscar จากภาพยนตร์ The big short (2015) มาเป็นมือเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้

สิ่งที่ผมคิดก็คือมันเต็มไปด้วยเรื่องราวของอเมริกันชนโดยแท้ ตัวละครต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น Peter Isherwell (Mark Rylance) ผมนั่งนึกอยู่นานว่ารู้สึกคุ้น ๆ และมาอ่อเกือบท้ายเรื่องว่า คาแรคเตอร์ การพูดการจาแบบนี้ มันสื่อถึงประธานาธิบดีสหรัฐ Joe Biden แทบจะถอดแบบมาวาง แต่ไม่ใช่ตัวเขาโต้ง ๆ เป็นการผสมผสานระหว่างเขาและ Elon Musk นักธุรกิจนักการตลาดที่ฝันจะไปใช้บั้นปลายชีวิตที่ดาวอังคาร

ถัดมาประธานาธิบดี President Orlean (Meryl Streep) ถูกถอดแบบมาจากมุมร้าย ๆ ของอดีตประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ จากแคมเปญการหารเสียง “Don’t Look Up” หรือตีเป็นนัยน์ว่าอย่าเชื่อนักวิทยาศาสตร์ ในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกนั่นเอง

รีวิว don't look up

รวมทั้งเรื่องของวัคซีน Covid-19 เองที่เหล่าอนุรักษณ์นิยม ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีแคมเปญ “Just say no” เป็นแคมเปญการปฏิเสธการรับวัคซีนซึ่งกล่าวหาว่าพวกเสรีนิยมเป็นพวกนาซีที่จะฆ่าคนทั้งประเทศผ่านวัคซีน ดังนั้นต้องปฏิเสธวัคซีนนั่นเอง

Dr. Randall Mindy (Leonardo DiCaprio) เป็นตัวแทนของเหล่านักวิทยาศาสตร์ ที่พยายามสื่อสารเรื่องภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ที่พูดปากเปียกปากแฉะเหลือเกิน

Kate Dibiasky(Jennifer Lawrence) ตัวละครที่รับบทโดย เจนลอว์ ค่อนข้างน่าสนใจผมมีความรู้สึกว่า McKay ตั้งใจถอดแบบมาจาก เกรย์ต้า เทนเบิร์ก นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ครั้งหนึ่งเป็น person of the year ของนิตยสาร Time เพราะด้วยวิธีการสื่อสารค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่กลับถูกฝั่งคนรักรัฐบาลทรัมป์ หรือแม้แต่ทรัมป์เองก็โยนความอารมณ์ไม่คงที่ให้เขาจนนำมาทำเป็นเรื่องตลก

ผมไม่แน่ใจนะครับว่าแต่ละคนที่ดูแล้วตีความเป็นไปในทิศทางอย่างไรบ้าง แต่ผมดูแล้วอดนึกถึงเรื่อง Climate Change ไม่ได้จริง ๆ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันกับเราแล้วว่า เราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ ครึ่งหนึ่งจากที่เป็นอยู่

ภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีเท่านั้น (ค.ศ. 2030) และเป้าหมายของเราคือต้องไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลยภายในอีกไม่เกิน 30 ปี (ค.ศ. 2050) สิ่งนี้เรียกว่า Net-Zero ที่พวกเราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง

แต่สิ่งที่รัฐบาลนานาประเทศ (หลาย ๆ ประเทศไม่ใช่ทั้งหมด) จัดประชุมสุดหรูอย่าง COP26 เพื่อมาโชว์ว่าประเทศของตัวเองทำอะไรบ้าง โดยใจความสำคัญของแต่ละประเทศ (บางประเทศ) ก็คือ “บรา บรา บรา” คือไม่มีอะไรมีแต่คำพูดที่ดูดี แต่ความจริงยังปล่อยให้ละเมิดป่าสงวน คอร์รัปชั่นสร้างโครงการบ้านสำหรับคนที่มีสิทธิพิเศษ แล้วไปประกาศต่อประชาชนชาวโลกว่า เราไม่มีแผนสำรองสำหรับการดูแลโลก

ทั้งที่แอคชั่นจริง ๆ มันสวนทาง เพียงแต่เกาะกระแสเทรนด์โลกเท่านั้น รวมทั้งภาคเอกชนที่เกราะกระแสกรีน แต่ผลิตภัณฑ์และกระบวนการมันไม่ได้กรีนจริง ๆ เพียงแค่หาผลประโยชน์ทางการตลาดจากมันเท่านั้น นี้เป็นภาพสะท้อนของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไม่ขำไม่ออก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *